Quantcast
Channel: DroidSans blogs
Viewing all 6898 articles
Browse latest View live

เปรียบเทียบสเปค Samsung Galaxy A5 , A7 , A8

$
0
0

เมื่อต้นปี Samsung ได้ปล่อยซีรีย์ A รุ่นมิดท๊อปราคาหมื่นกลางๆ ออกมาสองรุ่นได้แก่ Galaxy A5และ Galaxy A7ผ่านมาอีกครึ่งปีก็ได้ฤกษ์คลอดน้องใหม่อย่างเจ้า Galaxy A8ซึ่งจัดฟีเจอร์และสเปคมาให้แบบเต็มที่เรียกได้ว่าน้องๆ Galaxy S6 รุ่นเรือธงจากค่ายนี้เลยทีเดียว วันนี้เราเลยลองจับสเปคตระกูล A มาเปรียบเทียบให้เห็นถึงพัฒนาการของรุ่นล่าสุดว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง ~

ตารางเปรียบเทียบ Samsung Galaxy A5 , A7 , A8

 

Galaxy A5

Galaxy A7

Galaxy A8

ราคา12,900 บาท14,900 บาท15,900 บาท
OSAndroid OS 4.4 (Lollipop)Android OS 4.4 (Lollipop)Android OS 5.1.1 (Lollipop)
CPUQualcomm Snapdragon 410 Quad-core 1.2GHzQualcomm Snapdragon 615 Octa-core (1.5 GHz x4, 1.0 GHz x4)Exynos 5430 Octa-core (Quad 1.8GHz + Quad 1.3 GHz)
GPUAdreno 306Adreno 405Mali-T628 MP6
RAMRAM 2GB + ROM 16 GB + microSD สูงสุด 64GBRAM 2GB + ROM 16 GB + microSD สูงสุด 64GBRAM 2GB + ROM 32GB + รองรับ microSD Card สูงสุด 128GB
หน้าจอSuper AMOLED HD 5.0 นิ้ว 720 x 1280 พิกเซล (~294 ppi)Super AMOLED Full HD 5.5 นิ้ว 1080 x 1920 พิกเซล (~401 ppi)Super AMOLED Full HD 5.7 นิ้ว 1080 x 1920 พิกเซล (~386 ppi)
SIMNano-SIM (ซิมเดียว)2 ซิม (Nano-SIM) dual-standby รอรับสายได้พร้อมกัน (แชร์ช่องกับ microSD)2 ซิม (Nano-SIM) dual-standby รอรับสายได้พร้อมกัน (แชร์ช่องกับ microSD
เครือข่ายที่รองรับ2G / 3G / 4G ทุกเครือข่าย2G / 3G / 4G ทุกเครือข่าย2G / 3G / 4G ทุกเครือข่าย
ความเร็ว3G/4G สูงสุดHSPA 42.2/5.76 Mbps, LTE Cat4 150/50 MbpsHSPA 42.2/5.76 Mbps, LTE Cat4 150/50 MbpsHSPA 42.2/5.76 Mbps, LTE Cat6 300/50 Mbps
WiFiWi-Fi 802.11 a/b/g/n, dual-band, Wi-Fi direct, Wi-Fi hotspotWi-Fi 802.11 a/b/g/n, dual-band, Wi-Fi direct, Wi-Fi hotspotWi-Fi 802.11 a/b/g/n, dual-band, WiFi Direct, hotspot
การเชื่อมต่อBluetooth v4.0, A2DP, EDR, LE // รองรับ NFC // microUSB 2.0Bluetooth v4.0, A2DP, EDR, LE // รองรับ NFC // microUSB 2.0Bluetooth v4.1, A2DP, EDR, LE // ไม่มี NFC // microUSB v2.0
กล้องหลัง13 ล้านพิกเซล f/2.0 + Autofocus + LED flash13 ล้านพิกเซล f/2.0 + Autofocus + LED flash16 ล้านพิกเซล f/1.9 + Autofocus + LED Flash
กล้องหน้า5 ล้านพิกเซล f/2.25 ล้านพิกเซล f/2.25 ล้านพิกเซล f/1.9
เสียงลำโพงและช่องหูฟัง 3.5 มม.ลำโพงและช่องหูฟัง 3.5 มม.ลำโพงและช่องหูฟัง 3.5 มม.
SensorsAccelerometer, Compass, Light, ProximityAccelerometer, Compass, Light, ProximityAccelerometer, Compass, Light, Proximity
GPSA-GPS + GLONASSA-GPS + GLONASSA-GPS + GLONASS
แบตเตอรี2,300 mAh เปลี่ยนแบตไม่ได้2,600 mAh เปลี่ยนแบตไม่ได้3,050 mAh เปลี่ยนแบตไม่ได้
ขนาดและน้ำหนัก139.3 x 69.7 x 6.7 มม., 123 กรัม151 x 76.2 x 6.3 มม., 141 กรัม158 x 76.8 x 5.9 มม, 151 กรัม

 

พัฒนาการ Galaxy A5, A7, A8

จริงๆ แล้วตระกูล A ของ Samsung รุ่นแรกๆ อย่าง A5 และ A7 สเปคและฟีเจอร์ทั่วๆ ไปก็แทบจะถอดกันมาเป๊ะอยู่แล้ว และพอมาถึงรุ่นล่าสุดอย่าง A8ทาง Samsung ก็เริ่มมีการปรับเปลี่ยนหน้าตาและใส่ฟีเจอร์ใหม่ๆ ให้แตกต่างออกมา ยังไงลองมาดูพัฒนาการและความแตกต่างของทั้งสามรุ่นกันค่ะ

  • วัสดุและดีไซน์อย่างที่รู้กันว่าซีรีย์ A จะเป็นรุ่นที่ใช้โลหะเป็นวัสดุตัวเครื่อง และเห็นได้ชัดว่าพัฒนาการด้านดีไซน์ของแต่ละรุ่นในซีรีย์นี้ยิ่งทำยิ่งขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็บางลงเรื่อยๆ เช่นกัน ซึ่ง Galaxy A8เป็นรุ่นที่ทาง Samsung เคลมว่าบางที่สุดในตระกูล Galaxy เพียง 5.9 มิลลิเมตร พร้อมขอบจอบางโดยที่ขอบจอนั้นห่างจากกรอบเพียงแค่ 2.5 มิลลิเมตรเท่านั้น ดีไซน์ตัวเครื่องก็จะเห็นว่าแตกต่างจากรุ่นน้อง โดยออกแนวโค้งมนมากขึ้นไปคล้ายกับ S6 ซะมากกว่า

  • หน้าจอสำหรับรุ่นท๊อปมิดของค่ายก็ถือว่าจัดมาให้สมฐานะและราคา โดยรุ่นเล็กสุดอย่าง A5 ก็ได้ความละเอียดแบบ HD แล้ว จนมาถึง A7 และ A8 ก็เพิ่มความละเอียดเป็น Full HD อีกทั้งมีการเพิ่มขนาดหน้าจอใหญ่กว่าเดิมเรื่อยๆ เริ่มจาก A5 5 นิ้ว, A7 5.5 นิ้ว และรุ่นล่าสุด Galaxy A8มีขนาดจอใหญ่ถึง 5.7 นิ้ว ซึ่งขนาดพอๆ กับ ตระกูล Note เลยทีเดียว

  • หน่วยความจำภายในทั้ง Galaxy A5 และ A7 ให้หน่วยความจำภายในมา 16GB เท่ากันเป๊ะ และรองรับ microSD Card สูงสุด 64GB แต่มาถึง A8ก็ได้หน่วยความจำภายในเพิ่มขึ้นมาเป็น 32GB และรองรับ microSD Card สูงสุด 128GB ซึ่งทั้ง A7 และ A8 เป็นรุ่นแรกๆ ของ Samsung ที่ใช้วิธีการแชร์ช่องใส่ซิมในการเพิ่มเมมโมรี่การ์ดที่เรียกกันว่า Hybrid Slot

  • กล้องแน่นอนว่ารุ่นใหม่อย่าง A8ก็ต้องได้อะไรที่มากขึ้นกว่ารุ่นก่อนๆ อย่าง A5 และ A7 ทั้งความละเอียดที่เพิ่มเป็น 16 ล้านพิกเซล และรูรับแสงที่กว้างขึ้นจาก F/2.0 เป็น F/1.9 ช่วยในเรื่องการถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ดีขึ้น แถมยังมาพร้อม Quick launch camera เข้าโหมดกล้องได้เร็วสุดๆ ด้วยการกดปุ่ม Home 2 ครั้งติดกัน

  • Batteryเป็นอีกจุดหนึ่งที่เห็นพัฒนาการได้อย่างชัดเจนของซีรีย์นี้ ซึ่งแน่นอนว่า A8 ก็ชนะเลิศไปค่ะ เพราะได้ความจุแบตเตอรี่มาถึง 3,050 mAh

  • Featureสิ่งที่ใส่เพิ่มมาใน A8 แทบจะถอดมาจากรุ่น Flagship อย่าง S6 ทั้งเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือ, Smart manager และโหมดการใช้งานอื่นๆ ทั่วไป (รูปร่างหน้าตาก็เหมือนกันอีกนะ ._.^) แต่ว่าสิ่งที่ A8 ไม่มีคือ NFC ซึ่งรุ่นก่อนหน้าในตระกูล A ก็มีทั้งคู่

สรุป

Galaxy A5 - วัสดุและดีไซน์ดูดี ฟังก์ชันการใช้งานครบ และราคาไม่แพงมาก

Galaxy A7 - วัสดุ ดีไซน์ และฟังก์ชันการใช้งานครบเหมือน A5 เพิ่มเติมคือหน้าจอความละเอียดแบบ Full HD และแบตที่อึดขึ้น รวมถึงราคาที่สูงขึ้นมาอีกหน่อย (แต่อาจจะหาซื้อยากแล้ว)

Galaxy A8 - วัสดุและดีไซน์ดูลงตัวมากขึ้น เพราะขอบจอและตัวเครื่องที่บางลง ขนาดหน้าจอใหญ่ขึ้น ความละเอียด Full HD และยังได้ฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่ละม้ายคล้ายรุ่นเรือธงของค่ายอีกต่างหาก เรียกได้ว่าดูครบเครื่องที่สุดใน 3 ตัวนี้แล้ว อีกทั้งเรื่องราคาก็เพิ่มขึ้นจาก A7 ไม่มากด้วย (ใครที่ซื้อ A7 ไปไม่นานอาจมีร้องไห้)


ถ้าจะให้แนะนำคนที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนและพอจะมีงบประมาณหมื่นกลางๆ ก็แนะนำว่าให้รอ Galaxy A8ที่กำลังจะออกมาอาทิตย์หน้านี้แล้ว (เริ่มวางจำหน่ายราวๆ 27 กรกฎาคม) เพราะฟังก์ชันการใช้งานที่ค่อนข้างครบแทบจะคล้ายกับรุ่นเรือธงของ Samsung อย่าง Galaxy S6 และมีขนาดจอที่ใหญ่พอๆ กับตระกูล Galaxy Note รวมถึงราคาก็ต่างจากรุ่นเก่าไม่มากด้วย แต่ยังไงก็แล้วแต่คนชอบค่ะ บางคนอาจจะชอบจอใหญ่ บางคนก็อาจจะชอบจอเล็ก หรือบางคนอาจจะชอบมือถือหนาๆ กว่านี้หน่อย บางมากแล้วถือไม่ถนัด อันนี้ก็ต้องลองไปสัมผัสกันดูเองค่ะว่าชอบรุ่นไหนแบบไหน Laughing out loud


มาแน่.. HTC Aero จะวางจำหน่ายกับค่าย AT&T และ Sprint ในสหรัฐเป็นที่แรก

$
0
0

HTC Aeroสมาร์ทโฟนปริศนาที่จะถูกปล่อยออกมาเพื่อกอบกู้ชื่อเสียงของ HTCที่ช่วงนี้ดูจะตกต่ำแบบสุดๆ โดยก่อนหน้านี้ก็มีสเปคหลุดออกมาเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้นคือ หน้าจอกับ กล้องหลัง ล่าสุดเจ้าพ่อจอมหลุด @evleaksก็ได้ออกมาคอนเฟิร์มผ่าน Twitterแล้วว่า HTC Aero จะทำการเปิดตัวผ่านผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือชื่อดังในสหรัฐอเมริกา ทั้ง AT&T และ Sprint
ในทวีตล่าสุดเกี่ยวกับ HTC Aeroของทาง @evleaksได้มีการใส่คำว่า Hima เข้าไปด้วย ซึ่งถ้าใครจำได้ คำว่า Hima นั้นเคยเป็นชื่อของ One M9 มาก่อน ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงมาอยู่ใน HTC Aeroด้วย ส่วนการเปิดตัวของเจ้า HTC Aeroนั้นคาดว่าน่าจะอยู่ในช่วงเดือนพฤศจิกายนปีนี้ 
 
ส่วนสเปคที่หลุดออกมาของเจ้า HTC Aeroก็ยังคงไม่มีอะไรเพิ่มเติม โดยคาดว่าจะมาพร้อมกับหน้าจอ QuadHD (1440x2560 พิกเซล) ใช้กระจก Gorilla Glass 4 แบบนูน 2.5D และจะมาพร้อมกับกล้องหลังที่มีเลนส์ f/1.9 ที่รองรับการถ่ายรูปแบบ RAW file ได้ 
 
รอดูกันต่อไปว่า ข้อมูลสเปคอื่นๆของเจ้า HTC Aeroจะน่าตื่นตาตื่นใจขนาดไหน หวังว่าจะไม่ตกม้าตายแบบรอบที่แล้วนะ HTC
 
 
ที่มา: Twitter (1, 2) via GSMArena (1, 2)

รุ่นจิ๋วก็มา.. หลุด ภาพ Samsung Galaxy S6 Mini คาดเปิดตัวพร้อม Galaxy Note 5

$
0
0

Samsungถือว่าทำการบ้านมาอย่างดีกับ 2 รุ่นเรือธง Galaxy S6 และ S6 Edge ซึ่งสามารถทำยอดขายได้เยอะจนผลิต S6 Edge ออกมาไม่ทัน และเมื่อเร็วนี้ก็มีภาพหลุดของ Galaxy S6 Edge+ที่มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 5.5นิ้ว ออกมา ล่าสุดก็มีภาพหลุดเพิ่มมาอีก แต่ตาของรุ่นจิ๋วบ้าง นั่นก็คือ Galaxy S6 Mini ที่คาดว่าจะมีขนาดหน้าจอประมาณ 4.6-4.7นิ้ว และก็มีลือๆออกมาว่าจะเปิดตัวในงานเดียวกับ Galaxy Note 5 อีกด้วย

ถึงแม้ว่ารูปที่หลุดออกมาจะดูขนาดไม่ค่อยออกว่าเป็น Galaxy S6 Miniเพราะไม่มีการนำมาเทียบกับขนาดของ Galaxy S6 แต่จากหน้าจอ bootscreen ก็จะเห็นมีคำว่า "MINI"เขียนอยู่ รูปร่างหน้าตานั้นก็เหมือนกับ Galaxy S6 แทบทุกอย่างเลย และก็ใช้วัสดุที่เป็นโลหะกับกระจกแบบเดียวกันด้วย

ส่วนสเปคของเจ้า Galaxy S6 Mini ที่แว่วๆออกมาก็จะมีดังนี้

  • หน้าจอ: 4.6-4.7นิ้ว ความละเอียด HD 720p
  • CPU: Snapdragon 808
  • RAM: 2GB
  • กล้องหลัง: 15MP

ดูเหมือนว่าเจ้า Galaxy S6 Miniจะใช้ชิพ Snapdragon 808 เหมือนกับ Galaxy S6 Edge+ ที่เคยเป็นข่าวลือออกมาก่อนหน้านี้ ซึ่งสเปคเหล่านี้ก็ยังเป็นแค่ข่าวลือเท่านั้นนะครับ ส่วนที่สแกนลายนิ้วมือนั้นยังไม่รู้ว่ามีติดมาด้วยหรือเปล่า

คาดว่าทาง Samsung จะเปิดตัวเจ้ารุ่นจิ๋ว Galaxy S6 Miniพร้อมกับสมาร์ทโฟนรุ่นใหญ่ Galaxy Note 5 และ Galaxy S6 Edge+ ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 13 สิงหาคมที่จะถึงนี้ ยังไงก็รอดูกันอีกทีว่าเราจะได้เห็น เจ้ารุ่นจิ๋วตัวนี้หรือไม่นะครับ

 

ที่มา: Phone Arena via Sammobile

Huawei เปิดตัว G8 สมาร์ทโฟนที่มาพร้อมกับบอดี้โลหะ และตัวสแกนลายนิ้วมือ

$
0
0

ช่วงนี้ก็ใกล้จะถึงงานเปิดตัวของสมาร์ทโฟนหลายๆรุ่น จากหลายๆแบรนด์ โดยคราวนี้ก็เป็นคิวของทาง Huaweiทีได้ทำการเปิดตัวสมาร์ทโฟนตัวใหม่ที่มีชื่อว่า G8นั่นเอง โดยที่เจ้า Huawei G8ใช้วัสดุเป็นโลหะ และมีตัวสแกนลายนิ้วมืออยู่ด้านหลังตามสไตล์ของ Huaweiซึ่ง Huawei G8นั้นเป็นรุ่นต่อจาก Huawei G7 เมื่อปีที่แล้วครับ

Huawei G8นั้นจะไม่ได้ใช้ชิพ Kirin ที่เป็นชิพโฮมเมด แต่จะไปใช้ของฝั่ง Qualcomm แทน โดยเจ้าเครื่อง Huawei G8ก็จะใช้ชิพ Snapdragon 615 เป็นตัวขับเคลื่อน โดยทาง Huawei บอกว่าจะปล่อยออกมาเป็น 2 รุ่นด้วยกัน ต่างกันที่ RAM และ หน่วยความจำภายใน

ส่วนสเปคคร่าวๆของ Huawei G8 ก็มีตามนี้เลย

  • OS: Android 5.1 Lollipop with Huawei Emotion UI
  • หน้าจอ: 5.5นิ้ว ความละเอียด Full HD 1080p
  • CPU: Snapdragon 615 Octa-core 
  • GPU: Adreno 405
  • RAM: 2GB/3GB
  • หน่วยความจำภายใน:
    • รุ่น RAM 2GB: 16GB รองรับ microSD สูงสุด 64GB
    • รุ่น RAM 3GB: 32GB รองรับ microSD สูงสุด 64GB
  • กล้องหลัง: 13MP with PureCel sensor และ dual-LED แฟลช
  • กล้องหน้า: 5MP
  • แบตเตอรี่: 3,000mAh
  • รองรับ 4G LTE
  • Fingerprint sensor
  • สี:ขาว/ดำ/ทอง

ราคาของเจ้า Huawei G8ก็จะอยู่ที่ประมาณ $370 (12,9xxบาท) สำหรับรุ่น RAM 2GBและ $434 (15,2xxบาท) สำหรับรุ่น RAM 3GBครับ โดยคาดว่าจะวางขายในจีนเร็วๆนี้ ส่วนจะออกมาจากบ้านเกิดเมื่อไหร่นั้นก็ต้องรอดูกันต่อไปครับ

 

ที่มา: Blog of Mobile (ภาษาญี่ปุ่น) via Technodify

Xiaomi จับมือกับ Uber บริการส่ง Mi Note ถึงบ้านในประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์

$
0
0

Hugo Barra รองประธานกรรมการบริษัท Xiaomi ประกาศจับมือกับบริษัทขนส่งสาธารณะอย่าง Uber เปิดบริการจัดส่งสมาร์ทโฟน Xiaomi ถึงบ้านผ่าน Facebook โดยจับเอารุ่นเรือธงอย่าง Xiaomi Mi Note มาเป็นรุ่นประเดิมในบริการเดลิเวอรี่

วิธีการสั่งซื้อ Xiaomi Mi Note แบบเดลิเวอรี่ก็ไม่มีขั้นตอนยุ่งยาก ใช้วิธีเดียวกันกับการเรียกรถของ Uber เลยค่ะ สามารถสั่งได้ผ่านทาง Uber App และจ่ายเงินผ่านบัตรเครดิตที่เชื่อมต่อกับ Uber account ก่อนจะทำการส่งสถานที่ในการจัดส่งผ่าน GPS แล้วก็นั่งกระดิกเท้ารอรับเจ้า Mi Note ที่บ้านได้เลยค่ะ ซึ่งบริการ Mi Note เดลิเวอรี่พร้อมจัดส่งครั้งแรกแล้ววันนี้ (27 ก.ค.) แต่เฉพาะที่ประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซียเท่านั้นนะคะ Laughing out loud

 

Source :Hugo Barra via phonearena

Huawei อาจเลื่อนเปิดตัว Mate 8 เป็นปีหน้า พร้อมปล่อย Mate 7 Plus ออกมาแทนในเดือนกันยายนนี้

$
0
0

Huawei เพิ่งประกาศไปหยกๆ ว่าจะเปิดตัวสมาร์ทโฟน Flagship รุ่นใหม่ในงาน IFA ที่เบอร์ลินในเดือนกันยายนนี้ ซึ่งมีการคาดเดากันว่าจะเป็นการเปิดตัว Huawei Mate 8แต่กลับมีการรายงานจากจีนว่าทาง Huawei อาจจะปล่อยรุ่นอื่นในตระกูล Mate ออกมาแทน โดยอาจใช้ชื่อว่า Huawei Mate 7 Plusหรือ Huawei Mate 7S

หลังจากที่ชิปเซ็ต Kirin 950ที่จะใช้ใน Mate 8นั้นกว่าจะผลิตออกแล้วเสร็จพร้อมใช้งานก็คงเป็นช่วงเดือนตุลาคม นั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทาง Huawei จำต้องปล่อยรุ่นอื่นออกมาแทน ก่อนจะเลื่อนการเปิดตัว Mate 8ไปเป็นช่วงสิ้นปีนี้หรือต้นปีหน้าเลย ซึ่งขณะนี้ก็ยังไม่มีรายละเอียดที่แน่ชัดเกี่ยวกับ Mate 7 Plusคงต้องรอดูท่าทีจากทาง Huawei กันอีกทีนะคะ Laughing out loud


Source :gizmochina

How-to : วิธีอัพเดทหรือแฟลช software ใหม่ สำหรับ LG G4 (เวอร์ชั่นล่าสุด V10e)

$
0
0

ตอนนี้ทาง LG ได้ปล่อย software เวอร์ชั่นใหม่ของ LG G4รหัส H818P ที่ใช้งาน 2 ซิม ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกับที่วางจำหน่ายในประเทศไทยออกมาแล้ว เป็นเวอร์ชั่น V10e ในขณะที่ตอนนี้ในบ้านเรายังเป็นเวอร์ชั่น V10a กันอยู่ โดยตัว software เวอร์ชั่นนี้ปล่อยออกมาแก้ปัญหาและบั้กต่างๆ ใครที่ยังไม่รีบก็รอ OTA ผ่านมือถือก็ได้ แต่ถ้าใครอยากลองของใหม่ เราก็มีวิธีอัพเดทมาบอก เอาไปลองแฟลชกันเองได้เลย

คำเตือน : การแฟลชเครื่องเองอาจมีความเสี่ยง ทำให้เกิดความเสียหายต่างๆ ได้ เช่นเครื่องเปิดไม่ติด ในกรณีที่เกิดปัญหาระหว่างการแฟลช ซึ่งทางเว็บไซต์ไม่ขอรับผิดชอบความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการกระทำใดๆ ตามวิธีด้านล่างนี้ทั้งสิ้น เนื่องจากเราไม่ได้บังคับให้ทำตาม แต่เป็นความสมัครใจของท่านเอง

ก่อนจะแฟลชเครื่องเราก็ต้องมีการเตรียมการเรื่องไฟล์ต่างๆ กันสักหน่อย (การแฟลชวิธีนี้ข้อมูลไม่หายนะครับ)

1. ดาวน์โหลด LG G4 H818P V10e (ขนาด 1.7GB)

2. ดาวน์โหลด LG Flash Tool 

3. ปิดเครื่อง LG G4

4. กดปุ่ม  Vol UP (เพิ่มเสียง) ปุ่มเดียวค้างไว้แล้วเสียบสาย USB กับคอมพิวเตอร์เครื่องจะเข้าสู่ download mode

5. รอสักพักหน้าจอจะเปลี่ยนจาก Download mode เป็น Firmware Update

6. เปิดโปรแกรม LGFlashTool2014.exe แล้วตั้งค่าตามภาพด้านล่าง เลือกไฟล์ software ตัวล่าสุดมาทำการแฟลช

7. กด Normal Flash

 

8. กด Start

 

9. โปรแกรม LGUserCSTool.exe จะถูกเรียกขึ้นมา ก็กด OK ไปเลย

 

10. หน้าจอ LG Mobile Support Tool จะเด้งขึ้นมาและเริ่มทำการแฟลช software เราก็รอไปเรื่อยๆ ประมาณ 5-10 นาที

11. จากนั้น LG G4จะ reboot เองแล้วก็เริ่มอัพเดท รอสักพักเมื่อเครื่องกลับมาสู่หน้าจอ Lock screen แปลว่าพร้อมใช้งาน เป็นอันว่าเสร็จพิธี ^ ^

คำเตือน : การแฟลชเครื่องเองอาจมีความเสี่ยง ทำให้เกิดความเสียหายต่างๆ ได้ เช่นเครื่องเปิดไม่ติด ในกรณีที่เกิดปัญหาระหว่างการแฟลช ซึ่งทางเว็บไซต์ไม่ขอรับผิดชอบความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการกระทำใดๆ ตามวิธีดังกล่าวนี้ทั้งสิ้น เนื่องจากเราไม่ได้บังคับให้ทำตาม แต่เป็นความสมัครใจของท่านเอง

ดูภาพแล้วอ่านตามยังงงๆ ก็ลองดูในคลิปเอานะครับ ^ ^

Microsoft เปิดให้ทดสอบ Arrow Launcher หนึ่งแอพตัวใหม่ในยุทธศาสตร์บุก Android

$
0
0

หลังจากเมื่อปีที่แล้ว Microsoft ได้เปิดตัว Next Lock Screenซึ่งเป็นแอพล็อคหน้าจอที่สามารถแสดงตารางนัดหมายและเรียกใช้แอพอื่นๆผ่านทาง Lock screen ได้เลย เวลาผ่านมาค่อนปี Microsoft กลับมาอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็น Launcher เลยครับ ชื่อว่า Arrow Launcherโดยเป็น Launcher ที่เน้นการใช้งานง่ายๆ Home screen มีเพียง 3 หน้า และสามารถเลือกภาพจาก Bing มาเป็น Wallpaper ได้ด้วย มาดูรายละเอียดกันครับ

อย่างที่บอกไปว่า Arrow Launcher จะมีหน้า Homescreen อยู่เพียง 3 หน้าโดยหน้า Home นั้นจะแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนบน Recent ที่จะโชว์รายชื่อ app ที่เราเพิ่งเปิดใช้งานไม่นาน และส่วนล่างคือ Frequent จะโชว์รายชื่อ app ที่เราใช้งานอยู่เป็นประจำ ถ้าปัดไปทางซ้ายจะเป็นหน้า Peopleแสดงรายชื่อ contact โดยแบ่งเป็น Recent กับ Frequent เช่นกัน ในขณะที่ถ้าปัดไปด้านขวาจะเป็นหน้า Notes & Remindersที่เอาไว้จดโน็ตและทำ To-do list โดยสามารถ tick ถูกในแต่ละรายการที่ทำเสร์จไปแล้วได้

 

ด้านล่างของทุกๆหน้าคือ Dockเหมือนกับ Launcher ทั่วไปที่มี Phone, Message, App Drawer, Chrome และ Camera ให้เรียกใช้งานเป็นพื้นฐาน ถ้าเราเอานิ้วปัดขึ้นมาก็จะมี shortcuts ของ app ให้เพิ่มเติม ซึ่งทุก app สามารถจับเลื่อนตำแหน่ง,เพิ่ม,ลดและสร้าง folder ขึ้นมาได้

 

สำหรับ App Drawerหรือ หน้ารวม app นั้นจะแสดงรายชื่อ app ในแนวตั้งแบ่งกลุ่มตามตัวอักษรนำหน้าชื่อและเรียงลำดับไว้ให้แล้ว เราสามารถเอานิ้วลากที่รายการตัวอักษรด้านขวาเพื่อดูรายชื่อ app ตามตัวอักษรนั้นๆ ได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนั้นยังมีแถบค้นหาด้านบนให้พิมพ์ชื่อ app ที่ต้องการได้ด้วย

 

สำหรับคนที่สนใจจะร่วมทดสอบ Arrow Launcher เวอร์ชัน BETAสามารถเข้าไป join ได้ที่กลุ่ม Google+ ของ Microsoft หรือคนที่อยากเล่นแล้วก็สามารถ download APK ไปลองเล่นก่อนได้ครับ ด้านล่างนี้เลย เล่นแล้วเจอปัญหาอะไร อย่าลืมกด feedback ส่งกลับให้นักพัฒนาได้รู้และทำการแก้ไขด้วยนะครับ โดยส่วนตัวที่ผมลองใช้พบปัญหาเล็กน้อย แต่โดยรวมทำงานได้ครบถ้วนดีแล้ว คาดว่า Microsoft น่าจะปล่อยเวอร์ชันจริงขึ้น Play store ได้ในไม่ช้า

 

 

ที่มา:Google+และ PhoneArena

 


รีวิว : Colopl Rune Story จากเกมดังของญี่ปุ่น White Cat Project ลงสโตร์ไทยแล้ววันนี้!

$
0
0

สำหรับแฟนๆ เกมมือถือญี่ปุ่นน่าจะรู้จักชื่อเกม White Cat Projectกันพอสมควร เพราะเกมนี้จัดเป็นเกมยอดนิยมเกมนึงของสโตร์ญี่ปุ่น มียอดดาวน์โหลดสูง และติดอันดับเกมมือถือเติมเงินอีกด้วย แต่เสียดายที่ตัวเกมเป็นภาษาญี่ปุ่นทำใจติดปัญหาเรื่องเนื้อหาของเกม แต่ตอนนี้เกม White Cat Project ได้ออกเดินทางสู่เวอร์ชั่น Eng เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อไม่ให้ตกข่าวผมจึงมาแนะนำอีกหนึ่งเกมดีๆ เกมนี้กันนะครับผม

เพื่อนๆ คนไหนที่สนใจเกมนี้สามารถโหลดได้จากด้านล่างนี้เลยครับผม

        

 

จุดเด่น

- การเคลื่อนที่

การเคลื่อนที่เกมนี้ สามารถบังคับได้ด้วยเพียงมือเดียว ไม่ต้องใช้ 2 มือเหมือนเกมหลายๆ เกม โดยการสัมผัสจอแล้วลากไปในทิศทางที่ต้องการได้เลย ทั้งโจมตี ทั้งกลิ้งสามารถทำได้ด้วยเพียงมือเดียว ถ้าเทพหน่อยสามารถเล่นนิ้วเดียวก็ยังได้ 555 หรือเป็นเพิ่มเป็น 2 นิ้วสำหรับกดสกิล และโจมตีนั้นเอง

- อาชีพที่หลากหลาย

เกมนี้มีอาชีพ และอาวุธให้เราเลือกอยู่ด้วยกัน 8 อาชีพและอาวุธที่มีให้เลือกเล่นกว่า 6 ประเภทดังนี้ ( 2 อาชีพสุดท้ายเป็นของเซิร์ฟเวอร์ JP ) 

Swordsman ใช้ ดาบ ( เน้นสมดุล ไม่เด่นด้านใดด้านนึง )

Lancer ใช้ หอก หรือ ทวน ( มีจุดเด่นคือสามารถตั้งป้องกันเพื่อลดความเสียหายได้ พลังโจมตีสูง แต่โจมตีช้า )

Warrior ใช้ ค้อน หรือ ขวาน ( สุดยอดแห่งนักรบ ที่เด่นทั้งโจมตีและป้องกัน แต่โจมตีช้ามาก!! )

Archer ใช้ ธนู หรือ หน้าไม้ ( สามารถโจมตีจากระยะไกลได้อย่างว่องไว และโจมตีแรง แต่ตัวบางราวกับกระดาษ )

Monk ใช้ สนับมือ ( ถนัดการต่อสู้ตัวๆด้วยคอมโบ และการหลบหลีกที่ว่องไว )

Mage ใช้ คทา ( เน้นพลังเวทย์ที่รุนแรง และบางสกิลสามารถ Heal ได้ด้วย )

** Thif ใช้ มีดคู่ ( มีจุดเด่นคือสามารถเคาเตอร์การโจมตีได้ โจมตีไวและแรง )

** Knight of Dragon ใช้ ดาบโล่ ( ยังไม่เห็นกับตาตัวเอง แต่เท่าไปอ่านๆ มา บอกได้คำเดียวว่า โกง ! )

โดยทั้ง 6 อาชีพนี้จะมีตัวละครให้เราเลือกใช้มากกว่า 100 ตัวละครเลย ดังนั้นใครอยากได้ตัวไหนเทพๆ ลองศึกษากันยาวๆ ได้เลย ( ส่วนอีก 2 อาชีพที่เหลือน่าจะอัพเดตตามมาติดๆ )

- ระบบการต่อสู้ที่สามารถสลับตัวละครได้เรื่อยๆ

ระบบนี้จะช่วยให้เราสามารถตะลุยดันโหดได้นานมากยิ่งขึ้น เกมนี้จะไม่ได้มีเพียงตัวละครหลักของเราเท่านั้น แต่จะมีตัวละครที่เพิ่มเติมเข้ามาอย่างหัวข้อด้านบนที่ผมบอกไป ซึ่งเราสามารถเปลี่ยนตัวได้ตลอดไม่ว่าจะตอนไหนก็ตาม แต่ต้องกดให้ทันนะ 55

- เกมนี้จะเล่นไปไกลแค่ไหนก็ได้เพราะไม่มีค่าพลังงานในการลงดันเจี้ยน!!

ถือไม้ตายเด็ดของเกมนี้เลยก็ว่าได้ เพราะทั่วไปแล้วเกมแนวนี้จะมีการใช้พลังงานในการลงดันเจี้ยนต่างๆ มากน้อยแตกต่างกันออกไป แต่เกมนี้ไม่มีค่าพลังงานเหล่านั้น ทำให้เราสามารถลงดันเจี้ยนได้ยาวๆ ยันเช้าเลยก็ได้ ถ้าไม่ไปทำงานละก็นะ ฮ่าๆ

- ระบบเกาะลอยฟ้า หรือสร้างเมือง

เป็นเหมือนระบบที่เอาไว้สร้างบ้านของเราขึ้นมา โดยจะมีเควสให้เราทำด้วยนะ

- สายฟรีเล่นได้เรื่อยๆ

เกมนี้มีเควสแจกเพชรเอาไว้ใช้สุ่มตัวละคร 4 ดาว อาวุธ ได้เรื่อยๆ เพียงแต่ต้องขยันหน่อยเท่านั้นเอง

จุดด้อย

- ถ้าไม่เคยชินกับการเล่นมือเดียวจะลำบากหน่อย

ระบบนี้เป็นเหมือนดาบ 2 คมเพราะถ้าคนที่ไม่เคนเล่นเกมแบบนี้มาก่อนแรกๆ จะลำบากนิดหน่อย

 

สรุป 9 เต็ม 10 คะแนน

โดยรวมแล้วเป็นเกมที่สนุกมากๆ เกมนึงเลย อาจจะทำความเข้าใจกับมันในช่วงแรก ถ้าผ่านไปได้ก็สบายแล้ว ที่สำคัญเราสามารถเล่นได้เรื่อยๆ เบื่อก็พัก ไม่ต้องรีบเล่นหรือกลัวว่าพลังงานหมดแต่อย่างใด ส่วนตัวผม เกมนี้ให้ความรู้สึกเหมือนเกม MMO สมัยก่อนที่ไม่ต้องมีข้อจำกัดเรื่องพลังงานในการลงดันนั้นเอง

Tips&Trick : สายฟรีเล่นยังไงให้อยู่รอดกับ Line Dragonica Mobile

$
0
0

เพื่อนๆ หลายคนที่เล่นเกม Line Dragonica Mobile THก็คงมีคำถามหรือกำลังมองหาเทคนิคการเล่นแบบสายฟรี ว่าต้องเล่นยังไง แบบไหน ทำยังไงมันถึงจะอยู่รอด เล่นเกมนี้แบบสบายๆ ได้ บทความนี้มีคำตอบให้เพื่อนๆ แน่นอน แต่ไม่ใช่ว่ามันจะง่ายแบบ 2-3 นาทีได้เลย แต่มันต้องใช้ความพยายามระดับนึงเลยทีเดียว

การเล่นสายฟรีให้อยู่รอดมีอยู่ 2 ส่วนหลักๆ 

1. คือ การสร้างตัวละครเพิ่ม 2. คือ เควสลงดันเจี้ยน

มาเริ่มกันที่อย่าแรกก่อนเลย คือ การสร้างตัวละครเพิ่ม

ในที่นี้หมายถึงการสร้างตัวละครนอกจากตัวละครหลักที่เราเล่นอยู่แล้วนะครับไม่ใช่การสร้างตัวตัวแรก ดังนั้นอันดับเลยเราจะต้องคิดก่อนเลยว่าเราจะเล่นตัวละครอะไร คลาสอะไรเป็นอาชีพแรกสุด จากนั้นก็เล่นตัวละครนั้นๆ ไปเรื่อยๆ ตามแต่จะพอใจ จะ 20 30 40 ก็ว่ากันไป จากนั้นให้เราไปสร้างตัวละครตัวอื่นๆ เพิ่มเติมหรือที่เรียกว่าตัวละครรองนั้นเอง ข้อดีของการสร้างตัวละครรองมีดังต่อไปนี้

- เพชรที่ได้จากการลงดันเจี้ยนและพลังงานแยกกัน

เพชรเราสามารถนำไปซื้อของในมอลเพื่อมาสุ่มเอาของเทพๆ โอนใส่ตัวละครหลักของเราได้ ส่วนพลังงานนั้นจะไม่ส่งผลต่อตัวละครหลักของเรา ถึงเราจะเล่นพลังงานตัวนี้หมด ตัวหลักก็ไม่หมดตามนั้นเอง

- เควสใช้รวมกันได้

ข้อนี้ถือเป็นข้อดีที่สุดสำหรับผมนะ เพราะว่ามันจะช่วยให้เควสบางเควสที่ตัวละครเดียว กว่าจะทำเสร็จใช้เวลานาน สามารถย่นระยะเวลาในการทำเควสลงมาได้ แถมเมื่อเควสนั้นเสร็จแล้ว เราก็เข้าตัวละครหลักแล้วไปกดรับของรางวัลเควสได้เลย

- สามารถหาของได้ง่ายขึ้น

เมื่อมีหลายตัว เราก็สามารถเข้าบอสได้หลายครั้ง และเมื่อเข้าได้หลายครั้งโอกาสได้ของเทพๆ ก็จะตามมาด้วย อันนี้ก็เป็นอีกจ้อนึงที่ผมคิดว่ามันดี เพราะการทำไอเทมเซ็ต หรือไอเทมระดับ H ตัวละครตัวเดียวมันใช้เวลานานมากๆ

- รับดวงใจจากเพื่อนได้เยอะขึ้น

ข้อนี้สำหรับสายรักเพื่อน ฮ่าๆ เอาไว้หมุนสล๊อตเล่น ซึ่งมันจะช่วยให้เราหมุนได้เยอะขึ้นนั้นเอง

2. เควสลงดันเจี้ยน

มาที่ข้อ ที่ 2 มันจะต่อเนื่องจาก - เควสใช้รวมกันได้ แต่มาขยายเพิ่มเติมในส่วนที่ได้รางวัลเพชรล้วนๆ นะครับ ตามปกติแล้วเควสลงดันเจี้ยนเกมนี้จะมีให้เราทำมากมาย นับไม่ถ้วนเลย ยากง่ายแตกต่างกันออกไป แต่จะมีเควสอยู่กลุ่มนึงที่เราจะได้เพชรจำนวนมหาศาล ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเควสที่จะให้เราไปจำกัดมอนสเตอร์ในดันเจี้ยนนั้นเอง อาทิ เคลียร์[normal] 3-10 จำนวน 10 ครั้งเป็นต้น ซึ่งการเคลียร์ 10 ครั้งนั้น ตัวละครเดียวย่อมทำได้แน่ แต่มันจะเปลืองพลังงานสุดๆ ดังนั้นเราจะต้องมีหลายๆ ตัวเสียก่อน จึงจะทำข้อที่ 2 ได้นั้นเอง

ทั้ง 2 ข้อที่ผมได้เขียนไว้ มันต้องอาศัยการเล่นต่อเนื่อง ไปเรื่อยๆ อย่างอดทน มันอาจจะใช้เวลาบ้างสักระยะนึง แต่ผมเชื่อว่ามันไม่เกินความสามารถของคนเราๆ อย่างแน่นอน และอย่าลืมแบ่งเวลาเล่นบางนะครับ ระวังโดนหัวหน้าดุเอา ฮ่าๆ 

 

 

Summoners War ฉลองครบรอบ 40 ล้านดาวน์โหลดมาพร้อมกับกิจกรรมดีๆ แล้วของรางวัลอีกเพียบ!! ถึงวันที่ 9 ส.ค. นี้

$
0
0

เรียกได้ว่าเป็นอีกเกมนึงที่มียอดผู้เล่นทั่วโลกเป็นจำนวนมาก แถมยังได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ด้วยเนื้อหา ระบบการเล่นที่น่าติดตาม รวมไปถึงกิจกรรมมากมายที่เอาใจผู้เล่นใหม่ เก่าอยู่เสมอทำให้ตอนนี้ Summoners Warฉลองครบรอบ 40 ล้านดาวน์โหลดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีกิจกรรมแจกของรางวัลมากมาย ส่วนจะมีอะไรบ้างนั้นเราไปดูกันเลยครับผม

กิจกรรมที่ 1 ประกอบพัซเซิลให้สำเร็จและรับคาวเกิร์ล

- เซิร์ฟเวอร์ Asia/Europe/Global ตั้งแต่ บ่าย 2 ของวันที่ 27 ก.ค. 58 - 4ทุ่ม ของวันที่ 9 ส.ค. 58 เวลาประเทศไทย

รายละเอียดกิจกรรม : ทำภารกิจและประกอบพัซเซิลให้สำเร็จ เพื่อรับ มอนสเตอร์ คาวเกิร์ล (ธาตุมืด) 3ดาว และ เดวิลม่อน 1 ตัว!

* เราจะได้รับรางวัลทุกครั้งที่ประกอบชิ้นส่วนพัซเซิลลงไปนะ!

* คาวเกิร์ลที่แจกให้จะยังไม่ได้ถูกปลุก

* รางวัลในแต่ละภารกิจทำได้เพียงครั้งเดียว

* จะนับความคืบหน้าของภารกิจในหน้าของกิจกรรม

ภารกิจและไอเทมที่จะได้รับในแต่ละภารกิจ

- เคลียร์ด่าน 40ครั้ง จะได้รับ 100 พลังงาน

- ซัมม่อน มอนสเตอร์ 50 ตัว ( ไม่ว่าจะซัมม่อนโดยชิ้นส่วนคัมภีร์ หรือ การอธิษฐาน ) จะได้รับ 100,000 หินมานา

- เล่นในอารีน่า 40ครั้ง (ไม่ว่าจะแพ้,ชนะ หรือ เสมอ) จะได้รับ 100 พลังงาน

- ส่งหัวใจให้เพื่อน 70 ครั้ง จะได้รับ 20 หินซัมม่อน

- อธิษฐานตลอด 7 วัน จะได้รับ500,000 หินมานา

- ใช้ 300 พลังงาน -> รับ 1 คัมภีร์เวทมนตร์

- เพิ่มพลังมอนสเตอร์ 30 ครั้ง จะได้รับ รับ 50 พลังงาน + 1 บูสเตอร์ EXP (12ชั่วโมง)

- เคลียร์ดันเจี้ยนไครอส 40ครั้ง จะได้รับ รับ 100 คริสตัล

- วิวัฒนาการ มอนสเตอร์ 7ครั้ง จะได้รับ 1 คัมภีร์เวทมนตร์

 

กิจกรรมที่2 ล็อคอินทุกๆวัน!

- เซิร์ฟเวอร์ Asia/Europe/Global ตั้งแต่ บ่าย 2 ของวันที่ 27 ก.ค. 58 - 4ทุ่ม ของวันที่ 9 ส.ค. 58 เวลาประเทศไทย

รายละเอียดกิจกรรม รับรางวัลกันง่ายๆแค่เพียงล็อคอินเข้ามาในช่วงระยะเวลากิจกรรม

* สามารถล็อคอินเพื่อรับรางวัลได้วันละครั้ง และจะรีเซ็ตทุกวันๆตอน 4 ทุ่ม

* แต่ละรางวัลรับได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น

รางวัลล็อคอิน

วันที่1 : 50 พลังงาน

วันที่2 : 50,000 หินมานา

วันที่3 : 50 คริสตัล

วันที่4 : 1 เรนโบว์ม่อน 3 ดาว + 3 แองเจลม่อน (ธาตุไฟx1,ธาตุลมx1,ธาตุน้ำx1)

วันที่5 : 100 พลังงาน + 30 หินซัมม่อน

 

กิจกรรมที่ 3 ดันเจี้ยนแองเจลม่อน , ดันเจี้ยนเรนโบว์ม่อน , ดันเจี้ยน เดวิลม่อน

ดันเจี้ยนแองเจลม่อน

Asia Server: 5 ทุ่ม วันที่ 30 ก.ค. 58 – 5 ทุ่ม วันที่ 2 ส.ค. 58

Europe Server: ตี 5 วันที่ 31 ก.ค. 58 – ตี 5 วันที่ 3 ส.ค. 58

Global Server: บ่าย 2 วันที่ 31 ก.ค. 58 – บ่าย 2 วันที่ 3 ส.ค. 58

รายละเอียดของ ดันเจี้ยนแองเจลม่อน

- ดันเจี้ยนแองเจลม่อนมีทั้งหมด 3 ชั้น และมีโอกาสได้รับแองเจลม่อนแต่ละธาตุ(ตามที่ตารางกำหนด)หลังจากเคลียร์ดันเจี้ยนสำเร็จ 

- สามารถหาแองเจลม่อนได้ที่ชั้นแรก, ชั้นที่สองจะได้รับแองเจลม่อนที่อัพเกรด และสุดท้ายชั้นที่สามจะได้รับแองเจลม่อนที่ปลุกแล้ว

- สามารถหาแองเจลม่อนได้ที่ดันเจี้ยนแองเจลม่อน และสามารถนำแองเจลม่อนเหล่านั้นมาเพิ่มพลังให้กับมอนสเตอร์ได้

ดันเจี้ยนเรนโบว์ม่อน

Asia Server: 5 ทุ่ม วันที่ 31 ก.ค. 58 – 5 ทุ่ม วันที่ 1 ส.ค. 58

Europe Server: ตี 5 วันที่ 1 ส.ค. 58 – ตี 5 วันที่ 2 ส.ค. 58

Global Server: บ่าย 2 วันที่ 1 ส.ค. 58 – บ่าย 2 วันที่ 2 ส.ค. 58

รายละเอียดของ ดันเจี้ยนเรนโบว์ม่อน

- สามารถหา เรนโบว์ม่อน 2 ดาว หรือ 3 ดาว ที่ MAX LVแล้ว ได้ในดันเจี้ยนเรนโบว์ม่อน

- เรนโบว์ม่อนถือว่าเป็นมอนสเตอร์ชั้นดีในการนำเอาไปวิวัฒนาการ

-  ดันเจี้ยนเรนโบว์ม่อนจะเปิดเฉพาะในช่วงกิจกรรมนี้เท่านั้น

ดันเจี้ยน เดวิลม่อน

Asia Server: 5 ทุ่ม วันที่ 1 ส.ค. 58 – 5 ทุ่ม วันที่ 2 ส.ค. 58

Europe Server: ตี 5 วันที่ 2 ส.ค. 58 – ตี 5 วันที่ 3 ส.ค. 58

Global Server: บ่าย 2 วันที่ 2 ส.ค. 58 – บ่าย 2 วันที่ 3 ส.ค. 58

รายละเอียดของ ดันเจี้ยน เดวิลม่อน

- หลังจากเคลียร์ดันเจี้ยนเดวิลม่อน จะได้รับเดวิลม่อนเลยทันที

- เดวิลม่อนถือว่าเป็นมอนสเตอร์ชั้นดีในการอัพเลเวลสกิลของมอนสเตอร์

- ดันเจี้ยนเดวิลม่อนจะเปิดเฉพาะในช่วงกิจกรรมนี้เท่านั้น

 

นับว่าเป็นกิจกรรมดีๆ ที่แจกให้สำหรับผู้เล่นหน้าเก่าหน้าใหม่ได้เป็นอย่างดี ใครที่เป็นแฟนๆ ของเกมนี้ ก็อย่าลืมเข้าไปเล่นกิจกรรมกันได้นะครับผม

 

Soure : withhive.com

 

Bandai Namco ส่งเกมใหม่ World Trigger : Smash Borders เกมมือถือแนว 3D Slingshot ทั้ง 2 แพลตฟอร์ม

$
0
0

ปล่อยกันต่อเนื่องสำหรับค่ายใหญ่ที่หันมาเอาดีทางด้านเกมมือถืออย่าง Bandai Namcoที่ในคราวนี้ส่งเกมมือถือแนวเกมแปลกใหม่อย่างแนว 3D Slingshotภายใต้ชื่อเกม World Trigger : Smash Bordersที่ตอนนี้ได้เปิดให้บริการที่ญี่ปุ่นเป็นที่เรียบร้อย แน่นอนว่าต้องมุดเล่นอย่างเดียวเท่านั้นตอนนี้!!

ใครสนใจเล่นโหลดได้ตามนี้เลย ( เป็นของสโตร์ญี่ปุ่นนะครับผม )

 

 


World Trigger : Smash Bordersเป็นเกมมือถือ 3D Slingshotที่เราจะต้องสามารถกำหนดจุดโจมตีและจุดที่ฝ่ายตรงข้ามจะลอยมาได้ ซึ่งระบบการต่อสู้ของเกมนี้คล้ายกับเกมต่อสู้เป็นแบบเลือกเดินตามบล็อคตามแผ่นที่ สามารถดึงและปล่อยการโจมตี เมื่อมีจุดสีแดงโผล่ขึ้นมาสามารถโจมตีได้ 2 ครั้ง แถมยังสอดแทรกด้วยความเป็นเกม RTSอยู่ระดับนึงเลยเพราะเราสามารถเคลื่อนย้ายหลบหลีกการโจมตีได้ตามบล็อคและเส้นทางตามเนื้อเรื่องที่กำหนดภายในแผนที่นั้นเอง

ตัวเกมนั้นอัดแน่นไปด้วยการต่อสู้ที่คุ้นเคยและการใช้ทักษะสกิลในการต่อสู้นั้นเสมือนกับว่าเพื่อนๆกำลังนั่งชมซีรี่ย์การ์ตูนของจริงซึ่งถ้าใครเคยดูการ์ตูนเรื่องมาน่าจะช่วยได้เป็นอย่างดีทีเดียวเชียวละ

ตอนนี้เกม World Trigger : Smash Bordersได้ปล่อยออกมาทั้ง 2 แพลตฟอร์มเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าทาง Bandai Namcoปล่อยแต่ในญี่ปุ่นก่อนเพื่อดูผลตอบรับก่อนเปิดให้เล่นในเวอร์ชั่น Eng นั้นเอง ใครที่เป็นแฟนๆ ของเกมญี่ปุ่นก็สามารถมุดไปลองโหลดกันเล่นได้เลยนะครับผม

Source : mmocultrue.com

 

 

 

หลุดภาพคู่มือของ Xperia C5 Ultra ตัวเครื่องไร้ขอบตามข่าวลือทุกประการ

$
0
0

เป็นข่าวกันมาสักพักใหญ่แล้วสำหรับ Xperia Lavender ที่เพิ่งจะได้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าจะมีชื่อจริงว่า Xperia C5 Ultra ล่าสุดมีภาพคู่มือผู้ใช้งานของ Xperia C5 Ultraรหัส E5506, E5553 หลุดออกมาแบบเห็นกันจะจะ โดยหน้าจอของเครื่องนั้น "ไร้ขอบ"ข้างตรงกับภาพแผงหน้าจอที่เคยหลุดมาก่อนหน้านี้ นอกจากนี้แล้วยังมีรายละเอียดการออกแบบเบื้องต้นให้ดูด้วยครับ

เมื่อพิจารณาจากภาพในคู่มือที่หลุดออกมาแล้วจะพบว่าการออกแบบตัวเครื่อง Xperia C5 Ultraนั้นมีความคล้ายคลึงกับมือถือระดับเรือธงมากขึ้น ได้แก่ ลำโพงสองตัวบนล่างที่คล้ายกับ Xperia Z3+/Z4 ช่องสำหรับใส่ SIM และ microSD อยู่ทางซ้ายของเครื่อง และช่อง micro USB อยู่ด้านล่างตัวเครื่อง สำหรับข้อมูลสเปคของ Xperia C5 Ultraเท่าที่หลุดออกมามีดังต่อไปนี้ครับ

  • CPU MediaTek 6752 octa-core 64-bit
  • หน้าจอใหญ่กว่า Xperia C4 (ใหญ่กว่า 5.5 นิ้ว) 
  • คาดว่ามีความละเอียดหน้าจออยู่ที่ 1080 x 1920 Full-HD
  • RAM 2GB, หน่วยความจำภายใน 16GB รองรับ microSD คาดว่าน่าจะรับมากถึง 128GB
  • กล้องหลังและกล้องหน้าความละเอียด 13 ล้านพิกเซล กล้องหน้ามีแฟลช
  • Android 5.1.1

ช่วงนี้โซนี่มีข่าวหลุดนู่นหลุดนี่ออกมาบ่อยเหลือเกิน อาจเป็นไปได้ว่าโซนี่ใหล้จะเปิดตัวมือถือรุ่นใหม่เหล่านี้ในอีกไม่นานนี้ครับ แต่ก็ยังไม่มีข้อมูลยืนยันว่าโซนี่จะเปิดตัวก่อนหน้า IFA 2015อย่างที่ลือกันจริงหรือเปล่า ต้องติดตามครับ Smile

 

ที่มา: Xperia blog

ภาพหลุดพร้อมข้อมูล Lava Pixel V1 น้องใหม่ตระกูล Android One ดีไซน์สวยบอดี้โลหะ ในราคาไม่ถึงหมื่น

$
0
0

Google พยายามที่จะสร้าง Android One ขึ้นมาเพื่อยกระดับมาตรฐานของสมาร์ทโฟนตลาดล่างด้วยราคาที่ย่อมเยา เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตและใช้สมาร์ทโฟนคุณภาพดีเสปคไม่เลวในราคาสบายกระเป๋า ล่าสุดได้มีภาพหลุดของ Lava Pixel V1ออกมาให้ยลโฉมกันแล้ว แถมยังมาพร้อมข้อมูลเสปคและราคา ที่น่าสนใจคือตัวเครื่อง Lava Pixel V1อาจจะผลิตมาจากโลหะอีกด้วย

หลังจากที่ Android One ได้บุกตลาดในอินเดียไปเมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว ครั้งนี้ Google ได้เดินหน้าสานต่อออกสมาร์ทโฟนราคาประหยัดอีกรุ่นคือ Lava Pixel V1ซึ่งถูกพัฒนาปรับปรุงทั้งในเรื่องของเสปคการใช้งานและการดีไซน์ที่สวยดูดีทันสมัยมากขึ้น รับรองว่ามันจะต้องแตกต่างจาก Lava ตัวก่อนๆที่เราเคยเห็นอย่างแน่นอน อย่างนึงที่เห็นได้ชัดคือ UI ที่มาในรูปแบบของ Pure Android 

                                                             

สนนราคาของ Lava Pixel V1อยู่ที่ $177 (≈ 6,170 บาท) ในภาพเรนเดอร์ยังแสดงให้เห็นถึงหน้าจอที่ไร้ขอบของ Lava Pixel V1 แต่ก็อย่าไปเชื่อกันมากนักว่าหน้าจอจะไร้ขอบหรือบางเหมือนในรูป รอดูวันเปิดตัวจริงให้รู้ดำรู้แดงไปเลยดีกว่าว่า Lava Pixel V1จะสามารถสร้างปรากฏการณ์ใหม่ๆ ให้กับตลาดสมาร์ทโฟนราคาประหยัดได้หรือเปล่า                                                

เสปคของ Lava Pixel V1

  • ระบบปฏิบัติการ  Android 5.1.1
  • 1.3 GHz quad-core Qualcomm processor
  • หน้าจอ 5.5 นิ้ว 720p
  • RAM 2GB
  • ROM 32 GB (รองรับ microSD)
  • กล้องหลัง 8 ล้านพิกเซล
  • กล้องหน้า 5 ล้านพิกเซล
  • รองรับการใช้งาน 2 ซิม
  • แบตเตอรี่ขนาด 2,650 mAh

Source: androidauthority

LG คลอด LG Gentle สมาร์ทโฟนฝาพับพลังอมยิ้ม Lollipop

$
0
0

แม้ว่าปัจจุบันมือถือฝาพับจะไม่ค่อยได้รับความนิยมมากเท่าไหร่ แต่บางค่ายก็ยังพยายามนำมือถือฝาพับกลับมาผลิตและพัฒนาอยู่เป็นระยะ หนึ่งในนั้นก็มี LG ที่ยังคงผลักดันมือถือฝาพับให้กลับมาโลดแล่นในตลาด โดยหลังจากออกสมาร์ทโฟนฝาพับ Android ตระกูล Smart มาแล้วถึงสองรุ่น ตอนนี้ LG ก็ได้ฤกษ์คลอดน้องใหม่อย่างเจ้า LG Gentleสมาร์ทโฟนฝาพับที่มาพร้อมกับพลังอมยิ้ม<--break->

จุดเด่นของ LG Gentleอยู่ที่ปุ่มกดมีขนาดใหญ่บนหน้าจอทัชสกรีนขนาด 3.2 นิ้ว เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับผู้สูงอายุ คนที่นิ้วมือใหญ่ หรือคนที่สายตาไม่ค่อยดี และคาดว่าทาง LG จะมีการเปลี่ยนแปลง UI เพื่อรองรับการใช้งานที่ดีขึ้นสำหรับหน้าจอขนาดเล็ก

สเปค LG Gentle

  • Android OS 5.1 (Lollipop)
  • หน้าจอ Touchscreen ขนาด 3.2 นิ้ว ความละเอียด 480 x 320 พิกเซล (~181 ppi)
  • CPU : Quad-core 1.1GHz
  • RAM 1GB
  • หน่วยความจำภายใน 4GB (ใส่ microSD เพิ่มได้)
  • รองรับ LTE
  • แบตเตอรี่ความจุ 1,700 mAh

LG Gentleเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนที่ชอบมือถือฝาพับ สำหรับสเปคนั้นไม่ได้แรงมาก พอใช้แอปต่างๆ ได้ในราคา $170 (~ 5 927บาท) สำหรับคนที่สนใจก็ต้องมาลุ้นกันว่า LG Gentleนั้นจะมีวางขายนอกประเทศบ้านเกิดอย่างเกาหลีใต้หรือเปล่า Laughing out loud

 

Source : androidauthority


Review : รีวิว Xperia C4 Dual มือถือเซลฟี่คุณภาพจาก Sony ในราคาที่ไม่สูงเกินเอื้อม

$
0
0

 

ช่วงต้นปีของปีนี้ดูเหมือนว่ากระแสของโซนี่ดูจะเงียบเหงากว่ายี่ห้ออื่นๆ ส่วนหนึ่งเพราะว่าเรือธงรุ่นใหม่อย่าง Xperia Z3+/Z4 นั้นไม่ได้หวือหวาอะไรมาก เป็นเพียงการปรับปรุงเพิ่มจาก Xperia Z3 เรือธงเมื่อปลายปีที่แล้วไปให้ดีขึ้นเท่านั้นเอง และดูเหมือนว่าจะไม่มีการนำเข้ามาขายในไทยอีกด้วย ทำให้มือถือโซนี่ที่นำเข้ามาขายในบ้านเราในครึ่งปีแรกมีเพียงมือถือระดับล่างกับระดับกลางเท่านั้น สำหรับมือถือของโซนี่ที่เข้ามาในปีนี้มีด้วยกันทั้งหมด 3 รุ่นคือ Xperia E4 ที่เป็นรุ่นล่าง แล้วก็ Xperia M4 Aqua และ Xperia C4 Dual ที่เป็นรุ่นกลาง

** ภาพเยอะมากครับ ระวังติด FUP **

เนื่องจากช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสทดลองใช้งาน Xperia C4 Dualเป็นเวลา 1 สัปดาห์เต็มๆ จึงจะมารีวิวทั้งด้านประสบการณ์จากการใช้งาน คุณสมบัติต่างๆ ของมัน รวมถึงเอกลักษณ์ต่างๆ ของมือถือโซนี่

สเปคของเครื่อง

เริ่มด้วยรายละเอียดสเปคของเครื่องเลยละกันครับ สำหรับเจ้า Xperia C4 Dualนั้นมีข้อมูลสเปคดังต่อไปนี้

  • หน้าจอ IPS LCD ขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียด Full-HD (1080x1920)
  • CPU MediaTek MT6752 64-bit octa-core 1.7 GHz
  • GPU Mali-T760MP2
  • RAM 2 GB, ROM 16 GB รองรับ microSD สูงสุด 128 GB, รองรับ OTG
  • รองรับ 2 ซิม (nanoSIM) dual-standby, ซิมนึงเป็น 2G
  • รองรับทุกเครือข่ายในประเทศไทย (2G/3G/4G)
  • Wi-Fi 802.11 a/b/g/n, Dual-band, Wi-Fi Direct, Wi-Fi hotspot
  • การเชื่อมต่อต่างๆ Bluetooth v4.1, A2DP, aptX, LE, microUSB v2.0, NFC, ฟังวิทยุ FM ได้
  • กล้องหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อม LED Flash
  • กล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล เลนส์มุมกว้าง 25mm พร้อม LED Flash
  • มาพร้อมกับ Android Lollipop 5.0
  • แบตเตอรี่ 2,600 mAh
  • รุ่นนี้ไม่กันน้ำกันฝุ่น
  • ขนาดเครื่อง 150.3 x 77.4 x 7.9 มิลลิเมตร
  • น้ำหนัก 147 กรัม
  • มีทั้งหมด 3 สี ขาว,ดำ,เขียวมินต์
  • ราคาวางขายในไทย 10,990.-บาท

 

หน้าตาและการออกแบบ

จบเรื่องสเปคกันไปแล้ว เรามายลโฉมเจ้า Xperia C4 Dualกันเลยดีกว่า เริ่มจากการแกะกล่องออกมา ก็จะพบตัวเครื่อง สาย USB-microUSB พร้อม Charger แล้วก็คู่มือต่างๆ ครับ

 

แอนดรอยด์ฟิกเกอร์ไม่ได้แถมมาในกล่องนะครับTongue

สำหรับหน้าตาและการออกแบบของเจ้า Xperia C4 Dualตัวนี้ก็ยังใช้หลัก Omnibalance ที่โซนี่เริ่มใช้มาตั้งแต่ Xperia Z รุ่นแรก ซึ่งก็ทำให้มีการกระจายน้ำหนักที่ดีทีเดียวครับ

ด้านหน้าตัวเครื่อง ท่อนบนก็จะประกอบไปด้วยเซนเซอร์วัดแสง ไฟ Notification LED ลำโพงสนทนา กล้องหน้าและแฟลชคู่กล้องหน้า สังเกตที่กล้องหน้าจะเห็นว่ามีขนาดใหญ่และบริเวณขอบจะมีวงแหวนที่ทำให้ดูโดดเด่นขึ้นมามากทีเดียวเลยครับ

 

มาต่อกันที่ด้านข้างตัวเครื่อง เริ่มจากฝั่งขวาไล่จากบนลงล่าง จะประกอบไปด้วย ช่องสำหรับใส่ microSD และ nanoSIM 2 ช่อง ลงมาข้างล่างก็จะพบกับปุ่ม power สไตล์โซนี่ที่โดดเด่น ปุ่มปรับเพิ่มลดเสียง แล้วก็ปุ่มชัตเตอร์ที่โซนี่ใส่มาให้กับมือถือแทบทุกรุ่น ปุ่มชัตเตอร์สามารถตั้งให้เป็นปุ่ม quick launch แอปกล้องได้ครับ โดยใช้ได้เลยเป็นค่าเริ่มต้น

ปุ่ม power ที่เป็นเอกลักษณ์ของมือถือ Xperia

อีกสักรูป

 

สำหรับฝั่งซ้ายนั้นจะมีเพียงช่องเสียบ microUSB เท่านั้นครับ

 

ด้านบนก็มีช่องหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร จากที่ได้ทดสอบพบว่าถ้าไม่ได้มองจะเล็งเสียบยากนิดหน่อย เพราะมันจะค่อนไปทางด้านหลังเครื่องเล็กน้อย และช่องเสียบค่อนข้างแน่น (ไม่แน่ใจว่าใช้ไปสักพักจะหายแน่นมั้ย)

 

ด้านล่างเครื่องก็จะมีช่องไมค์สำหรับสนทนาคุยโทรศัพท์ครับ

 

มาที่ด้านหลังเครื่องก็จะพบกับกล้องหลังพร้อมไฟแฟลช ทางขวาของกล้องก็จะเป็นไมค์บันทึกเสียง บริเวณกลางๆ ก็จะมีเป็นบริเวณที่มีชิป NFC อยู่ครับ แล้วก็มีลำโพงอยู่ทางด้านล่างของเครื่อง

 

หลังจากนั้นก็ทดลองเปิดเครื่องกันเลย เปิดมาก็จะพบกับหน้า Home เริ่มต้นที่มี Widget ของแอป What’s New ที่นำเสนอข่าวสารต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเพลง หนัง รวมถึงแอปแนะนำต่างๆ ครับ ในส่วนของ Shortcut ด้านล่างก็เป็นแอป Media ต่างๆ ของโซนี่เอง ไม่ว่าจะเป็น Music (แอป Walkman เก่า), Album, Video และ Playstation นอกจากแอปพวกนี้ก็จะมีแอปของกูเกิลที่ติดตั้งมาให้แล้วครับ

 

มาที่สีสันบนหน้าจอกันบ้าง สำหรับ Xperia C4 Dualนั้นก็มีเทคโนโลยี Bravia Engine 2 เช่นเดียวกับ Xperia รุ่นอื่นๆ เพื่อเสริมให้สีสันบนหน้าจอดูสวยขึ้น นอกจากนี้แล้วยังมีโหมด Vivid ที่ให้สีสดขึ้นไปอีกด้วยครับ แต่ผมไม่ได้ทดสอบความแตกต่างมาครับ เปิดใช้แต่ Bravia Engine 2 เท่านั้น

แม้ว่า Xperia C4 Dualนั้นจะเป็นมือถือระดับกลาง แต่ก้มาพร้อมกับจอความละเอียด Full-HD ทำให้ภาพที่แสดงบนหน้าจอนั้นคมขึ้น สำหรับผมที่ใช้มือถือจอ HD (720 x 1280) มาก่อนก็พบว่าภาพต่างๆ ดูคมและละเอียดขึ้นแบบเห็นได้ชัดครับ

 

จอของ Xperia C4 Dualนั้นมีขนาด 5.5 นิ้ว ซึ่งถือว่าเริ่มใหญ่แล้ว จากที่ผมได้ทดลองใช้งานมาพบว่ามือของผมนั้นเล็กไปหน่อยสำหรับมือถือจอขนาดนี้ การใช้งานมือเดียวนั้นจะค่อนข้างลำบากเพราะนิ้วเอื้อมได้ไม่ทั่วบริเวณจอ อีกทั้งบางครั้งจับแล้วกลัวว่าจะตกเหมือนกัน ส่วนใหญ่เลยใช้งาน 2 มือเพื่อความสะดวกครับ

 

ผมสังเกตพบว่าด้านหลังตัวเครื่องของ Xperia C4 Dualนั้นเป็นรอยมือได้ค่อนข้างง่ายครับ (ส่วนใหญ่เจอจากเหงื่อบนมือ) อย่างไรก็ตาม พอมันแห้งก็จะมองรอยไม่ค่อยออก และสามารถเช็ดออกได้ง่ายครับ

 

 

benchmark

สำหรับการทดสอบผล Benchmark ผมได้ใช้แอปสำหรับการ Benchmark คือ Geekbench 3, AnTuTu และ 3DMark Ice Stormในการทดสอบครับ ได้ผลคะแนนดังนี้

คะแนนจาก Geekbench

ในการทดสอบด้วย AnTuTu นั้นผมพบว่าตัวแอปมีปัญหาในเชื่อมต่อกับเซิฟเวอร์ ทำให้คะแนนทดสอบไม่ถูกบันทึกและขึ้นเป็น Non-verified Score ครับ พยายามหลายวิถีทางแล้วก้แก้ไม่ได้ เลยขอใช้คะแนนทดสอบนี้ครับ

คะแนนจาก AnTuTu

คะแนนจาก 3DMark

จากตัวเลขคะแนนก็จะพบว่าทำคะแนนได้ไม่เลวเลยทีเดียว โดยในด้านการประมวลผลนั้น CPU MediaTek 6752สามารถทำคะแนน Benchmark ของ AnTuTu ได้สูงกว่า Snapdragon 808 เสียอีก (อย่างใน LG G4) แต่ในการทดสอบกับ Geekbench จะพบว่าการทำงานคอร์เดียวนั้นยังด้อยกว่า และส่วนของการทำงานหลายคอร์นั้นมีคะแนนดีกว่าเพราะ MediaTek 6752มีจำนวนคอร์มากถึง 8 คอร์ ในขณะที่ Snapdragon 808 มีคอร์เพียง 6 คอร์

ในส่วนของการประมวลผลกราฟิกนั้นชิป MediaTek 6752ยังคงด้อยกว่า Snapdragon 808 อย่างเห็นได้ชัด

*หมายเหตุ คะแนนเหล่านี้เป็นเพียงปัจจัยหนึ่งในการพิจารณาเท่านั้น สิ่งสำคัญกว่าคือการใช้งานจริง

 

การใช้งานทั่วไป

เชื่อว่าหลายๆ คนน่าจะสงสัยว่าประสิทธิภาพของชิป MediaTek มันเป็นเช่นไรบ้าง ตอนผมได้เครื่องมาไม่นานผมก็เลยทดสอบด้วยการเล่นเกมมาตรฐานอย่าง Asphalt 8: Airborneแล้วผมไปสังเกตว่ามือถือ Xperia นั้นสามารถอัดวิดีโอหน้าจอได้ในตัวของมันเองเลย (เมนูจะอยู่ข้างเมนูถ่ายรูปหน้าจอตอนกดปุ่ม power ครับ) ผมก็เลยอัดวิดีโอมาให้ชมกันครับ

ระหว่างอัดนั้นไมค์จะรับเสียงจากข้างนอกด้วยครับ แต่ในวิดีโอผมไม่ได้พูดและอยู่ในที่ค่อนข้างเงียบ

ตัวเกมนั้นปรับกราฟิกไว้ที่ High ซึ่งจากการทดลองเล่นก็พบว่าลื่นไหลใช้ได้ มีหน่วงบางจังหวะบ้างแต่ไม่ทำให้การเล่นติดขัดครับ หากเป็นการเล่นระหว่างการบันทึกหน้าจอด้วย หน้าจอจะดูหน่วงๆ ไปบ้าง แต่ตัววิดีโอก็ได้ออกมาอย่างที่เห็นครับ

 

อุณหภูมิเครื่องในช่วงที่เล่น Asphalt 8

เล่นเกมมาหมาดๆ สิ่งที่ตามมาก็คือความร้อนของเครื่อง ผมได้เปิดใช้ CPU-Z ในการตรวจอุณหภูมิของ CPU ก็พบว่าตามตัวเลขแล้วร้อนใช้ได้เลยครับ แต่ว่าด้วยความที่ Xperia C4 Dualนั้นมีขนาดเครื่องที่ใหญ่และส่วนที่ร้อนนั้นค่อนข้างไปทางบน ราวๆ แถวบริเวณกล้อง การจับถือในช่วงเล่นเกมหรือหลังจากการเล่นเกมก็ไม่ได้ไปโดนส่วนนั้นเท่าไร เลยไม่ค่อยรู้สึกร้อนครับ ยกเว้นแต่ว่าจะเล่นเสร็จปุ๊บหย่อนใส่เข้ากระเป๋ากางเกง ก็รู้สึกร้อนขาไม่ใช่เล่นครับ 

 

การใช้ RAM ในสภาพทั่วไป

สำหรับการใช้งานทั่วไปเล่นเน็ตเล่นเฟส เปิดแอป สลับแอป ทำได้ลื่นไหลทีเดียวครับ ตอนเปิดเครื่องมาใหม่ๆ ก็มี RAM ว่างอยู่ราว 475 MB หลังจากทดลองใช้งานโดยไม่เคลียร์แอปเลย จนเข้าวันที่ 2 ถึงรู้สึกว่าหน่วงขึ้นมาบ้าง พอเคลียร์ที่เปิดไปก็กลับมาลื่นไหลเหมือนเดิมครับ

ในส่วนของ ROM นั้น Xperia C4 Dualให้มา 16GB แรกเริ่มเปิดเครื่องมาจะมีเหลือให้ใช้ได้ 9GB กว่าๆครับ ถ้าเป็นการใช้งานทั่วๆ ไปเช่น ลงแอป ลงเพลง ลงเกมเบาๆ ผมว่าก็เหลือเฟือครับ แต่ถ้าใครเป็นคอเกมที่ใช้พื้นที่เยอะๆ ก็แนะนำให้ใส่ microSD เพิ่ม หรืออย่างผมที่ฟังเพลงพวก FLAC ก็ต้องอาศัย microSD ช่วยเพลงเพราะไฟล์มันใหญ สำหรับXperia C4 Dualนั้นรองรับ microSD ได้สูงสุดถึง 128GBถือว่ารองรับได้มากเลยทีเดียวครับ (ลืมถ่ายหน้าจอมาแปะให้ดูครับ ขออภัยอย่างสูง ( _/|\_ ) )

อีกหนึ่งอย่างที่ทางโซนี่ชูเป็นจุดเด่นของ Xperia C4 Dualก็คือลำโพงที่เสียงดังฟังชัด จากการทดสอบฟังเสียงจากลำโพงของเจ้า Xperia C4 Dualก็พบว่าเสียงดังดีมากครับ เปิดระดับเสียงสักครึ่งหนึ่งก็ดังพอฟังชัดทั่วห้องแล้วครับ ...แต่! แม้ว่าลำโพงจะเสียงดังแค่ไหน หากเราจับตัวเครื่องวางราบไปบนพื้นโต๊ะเรียบๆ ล่ะก็ จะพบว่าเสียงลำโพงอันทรงพลังนั้นเงียบกริบเลย เนื่องจากด้านหลังของตัวเครื่อง Xperia C4 Dualนั้นเป็นผิวเรียบไม่มีแง่งหรือส่วนที่ยื่นออกมาดันให้เกิดช่องว่าง ทำให้เสียงจากลำโพงโดนปิดไม่ให้เล็ดรอดออกมา ลองดูจากคลิปได้ครับ

ทดสอบเสียงลำโพง Xperia C4 Dual

แบตเตอรี่

Xperia C4 Dualเครื่องนี้มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาด 2,600 mAhก็ถือว่าให้มาเยอะใช้ได้ครับ หากใครคุ้นเคยหรือใครพอจะรู้จักมือถือ Xperia มาก่อนก็น่าจะทราบดีว่า Xperia นั่นจะมีฟังก์ชันสำหรับประหยัดแบตเตอรี่คือ STAMINA Modeที่สามารถปรับการใช้งานของแอปต่างๆ ได้เพื่อลดการใช้แบตเตอรี่ รวมถึงฟังก์ชัน Ultra STAMINAและ Low Batteryที่จะปิดการใช้งานบางอย่างเพื่อที่จะเค้นแบตให้ใช้ได้จนเฮือกสุดท้าย 

แต่เนื่องจากผมต้องการทดสอบการใช้งานแบบเต็มๆ ก็เลยไม่ได้เปิดโหมดประหยัดแบตใดๆ ครับ รวมถึง Wi-Fi ก็ปรับให้ต่อตลอดเวลา ไม่มีพักตอนปิดหน้าจอ หลังจากนั้นผมได้ทดลองใช้งาน 1 วันเต็มโดยเริ่มถอดสายชาร์จก่อน 11 โมงนิดหน่อยแล้วไปเดินห้าง ต้องบอกก่อนว่าช่วงต้นนั้นมือถือผมยังไม่ได้ใส่ซิมครับ แต่พอไปถึงห้างผมก็จัดการเรื่องซิมเสร็จสรรพก็ใส่ทันทีเปิด 3G ลองสักพักหนึ่งแล้วก็เปลี่ยนมาใช้ Wi-Fi และระหว่างนั้นก็ได้ลองใช้กล้องถ่ายนู่นเป็นระยะๆ ถ้าสังเกตช่วงที่แบตเตอรี่แทบไม่ลดเลยนั่นคือช่วงปิดพักจอครับ จะเห็นว่าช่วง Idle นั้นแบตแทบไม่ลดเลย

 

พอกลับถึงบ้านผมได้ทดลองโหลดเกม Asphalt 8: Airborne มาลองเล่น (ช่วงเดียวกับคลิปข้างบนครับ) หลังจากนั้นสักพักก็เสียบ USB กับคอมเพื่อโอนไฟล์วิดีโอลงเครื่อง ระหว่างโอนไฟล์จะพบว่าแบตถูกชาร์จเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย หลังจากนั้นผมก็ได้ใช้ Xperia C4 Dualดูวิดีโอที่โอนมาต่อเนื่องนานพอสมควร รวมๆ แล้วก็น่าจะสัก 3 ชั่วโมงได้ โดยสลับกับการเล่นเฟสไปด้วย สังเกตบริเวณในกราฟที่ Screen On จะเห็นว่าติดต่อกันนานอยู่ครับ โดยหลังจากนั้นก็เป็นการใช้งานทั่วไป

ในวันนั้นเองผมก็พบว่าแบตเตอรี่สามารถอยู่ได้ถึงราว 3 ทุ่มกว่าๆ เลยครับ คิดเลขกลมๆ ก็จะได้ว่าสามารถใช้งานได้ต่อเนื่องราว 10 ชั่วโมงเลย แถมมีการใช้งานหน้าจอนานซะด้วย

สำหรับวันธรรมดาที่ผมพก Xperia C4 Dualไปทำงานด้วย โดยช่วงเวลาที่ถอสายชาร์จเป็นช่วง 9 โมงกว่าๆ น่าจะราวครึ่ง ระหว่างเดินทางใช้ 3G ตลอด ระหว่างทางได้ใช้ฟังเพลงไปด้วย และเนื่องจากแชทกับเพื่อนๆ นานพอสมควรกว่าผมจะถึงที่ทำงานแบตก็ลดลงมาเหลือที่ 80 กว่าเปอร์เซ็นต์แล้วครับ พอถึงที่ทำงาน (ราว 10 โมงครึ่ง) ผมก็เปลี่ยนเป็นต่อ Wi-Fi แล้วเปิดฟังเพลงไปทำงานไป ระหว่างนั้นก็มีการเปิดหน้าจอโทรศัพท์มาดูนู่นนี่บ้างเล็กน้อย แต่หลักๆ คือการปิดจอและเปิดเพลงครับ เมื่อถึงเวลาเลิกงาน (18.53 น.) หยิบมือถือมาเปิดดูพบว่าแบตเหลือมากถึง 72% ครับ หลังจากนั้นผมก็เดินทางกลับบ้าน ระหว่างทางก็ใช้งาน 3G ตลอดทางครับ พอใกล้ๆ ถึงบ้านก็หยิบมาดูรอบหนึ่ง (20.11 น.) พบว่าแบตเหลืออยู่ที่ 61% ครับ

 

เพื่อความชัวร์ผมก็ทดลองเก็บข้อมูลแบตอีกวันหนึ่ง วันนี้ในช่วงเช้าในงานโทรศัพท์ระหว่างเดินทางค่อนข้างมาก เปิดจอนาน แชท 3G ทดลองเปิด Google Maps จนแบตเหลือ 80 กว่าเปอร์เซ็นต์ตั้งแต่ก่อนถึงที่ทำงาน พอไปถึงที่ทำงานก็ผมใช้งานแบบเดิมครับคือต่อ Wi-Fi กับฟังเพลง ตอนเย็น (17.21 น.) หยิบขึ้นมาดูทีนึงก็พบว่าแบตเหลืออยู่ที่ 69% และกลับไปถึงบ้านก็สามารถใช้ต่อได้ยาวถึง 5 ทุ่มเลยทีเดียว โดยเหลือแบตอยู่ที่ 27%

 

จะเห็นได้ว่าการใช้งานทั่วๆ ไปนั้น Xperia C4 Dualสามารถจัดการแบตเตอรี่ได้ค่อนข้างดีทีเดียว สามารถใช้งานพ้นวันได้สบายๆครับ อย่างไรก็ตาม ผมไม่ได้ทดสอบในกรณีที่ใช้งาน 2 ซิม และในกรณีที่เป็นการใช้งานหนักๆ 3G/4G ตลอดทั้งวัน สำหรับ 2 กรณีที่ว่ามานี้จะมีการใช้งานแบตเตอรี่หนักกว่านี้แน่นอนครับ แต่สำหรับคนที่ใช้งานหนักล่ะก็ ผมเชื่อว่าโหมดประหยัดแบตอย่าง STAMINA จะสามารถช่วยให้แบตคุณอยู่ได้ยาวนานขึ้นอย่างแน่นอนครับ

 

การใช้งานกล้อง

มาที่กล้องกันบ้าง สำหรับเจ้า Xperia C4 Dualตัวนี้มาพร้อมกับกล้องหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซล และกล้องหน้าเลนส์มุมกว้างความละเอียด 5 ล้านพิกเซลพร้อมแฟลช สำหรับซอฟท์แวร์กล้องของโซนี่นั้นจะมีโหมด Auto ที่เรียกว่า Superior Auto โดยข้อแม้ของการถ่ายด้วยโหมด Superior Auto ก็คือจะถ่ายได้ความละเอียดสูงสุดที่ 8 ล้านพิกเซลเท่านั้น สำหรับโหมด Manual ที่ให้เราตั้งค่าทั้งตาม Preset หรือตั้งค่า White Balance หรือ Exposure เองได้ เราจะสามารถปรับให้ความละเอียดภาพเพิ่มไปเป็น 13 ล้านพิกเซลได้ครับ

นอกจากนั้นก็จะเป็นลูกเล่นต่างๆ ตามสไตล์ของโซนี่ คือการแต่งภาพด้วย AR (Augmented Reality) ที่สามารถนำภาพกราฟิก 3 มิติ เข้ามาตกแต่งในภาพได้ของเราให้มีชีวิตชีวามากขึ้น

เรามาลองดูภาพจากกล้องหลังกันดีกว่าครับ ภาพต่อไปนี้ถ่ายด้วยโหมด Superior Auto ครับ (ภาพสุดท้ายเป็นสภาพแสงมืดมาก)

สำหรับการถ่ายภาพกลางคืนนั้นสามารถถ่ายได้ค่อนข้างรวดเร็วทันใจดีครับ ไม่ว่าจะเป็นการกดถ่ายด้วยปุ่มชัตเตอร์ หรือเป็นการกดชัตเตอร์บนหน้าจอ ต่อไปลองดูตัวอย่างภาพจากโหมด Manual กันบ้างครับ

ในด้านการถ่ายวิดีโอนั้น Xperia C4 Dualสามารถถ่ายได้ความละเอียดที่ Full-HD 1080p ครับ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมพบขณะถ่ายวิดีโอก็คือภาพที่แสดงบนหน้าจอจะค่อนข้างจะดีเลย์ครับ ทำให้การหันหรือแพนกล้องกะจังหวะได้ลำบากขึ้นเล็กน้อย แล้วก็การจับโฟกัสก็เหมือนจะยังช้าไปนิดหน่อย ลองดูตัวอย่างวิดีโอครับ 

สำหรับการกันสั่นนั้นโซนี่ยังคงใช้เพียงซอฟท์แวร์เท่านั้น แม้แต่รุ่นเรือธงอย่าง Xperia Z3+/Z4 ก็ยังไม่ได้ใส่ OIS มาให้ ลองดูตัวอย่างวิดีโอที่ผมถ่ายไปเดินไปดูครับ (คาดว่าภาพเบลอเพราะเลนส์อาจจะเป็นรอยเปื้อน)

แล้วในบางจังหวะที่เดินเร็วๆ นั้นจะพบว่าวิดีโอที่ถ่ายมายังคงสั่นมาก และนอกจากจะสั่นมากแล้วกล้องยังจับโฟกัสไม่ค่อยติดอีกด้วย สำหรับในส่วนวิดีโอนี่ต้องขออภัยที่ผมไม่ได้ถ่ายในช่วงกลางวันมาให้ได้ชมกันครับ

 

มาที่กล้องหน้ากันบ้างครับ สำหรับมือถือตระกูล Xperia C นั้นเป็นมือถือที่โซนี่ผลักดันให้มีจุดเด่นเป็นกล้องหน้าที่สามารถเซลฟี่ได้ออกมาดูดีและสวยงาม จึงได้เลือกใช้ฮาร์ดแวร์กล้องที่แตกต่างจากรุ่นอื่น ในส่วนของซอฟท์แวร์นั้นก็จะมีให้เลือกปรับเป็นโหมด Soft-skinที่เหมือนกับพวกโหม Beauty ของหลายๆ ยี่ห้อนั่นเองครับ นอกจากนี้แล้วยังถ่ายภาพแบบ HDR ด้วยกล้องหน้าได้อีกด้วย ลองดูภาพจากกล้องหน้ากันครับ 

ภาพชุดนี้ไล่จากภาพแรกจะเป็น auto, manual, soft-skin, กล้องหลังไม่มีแฟลช, กล้องหลังแบบมีแฟลช, กล้องหน้าแบบไม่มีแฟลช และกล้องหน้าแบบมีแฟลชครับ

ด้วยเลนส์มุมกว้างของ Xperia C4 Dualก็ทำให้สามารถเก็บภาพได้กว้างถึง 80 องศา กว้างเลนส์ธรรมดาพอสมควรเลยทีเดียว ลองดูภาพเปรียบเทียบของกล้องหน้า Xperia C4 Dualกับ Zenfone 2 (ที่สามารถเก็บภาพได้กว้าง 88 องศา) กันครับ ภาพแรกจะเป็น Zenfone 2 ตามด้วยภาพจาก Xperia C4 Dualนะครับ 

นอกจากนี้แล้วกล้องหน้าก็สามารถเล่น effect ต่างๆ ทั้งแต่งโทนสีและใส่ AR เข้ามาประกอบในภาพได้เช่นกันครับ

การใช้งาน 2 ซิม (Dual SIM)

Xperia C4 Dualนั้นรองรับการใช้งาน 2 ซิมแบบนาโนซิม (nanoSIM) โดยเป็น dual-standby และซิมนึงเป็น 2G ครับ โดยปกติแล้วผมใช้งานโทรศัพท์แค่ซิมเดียวเลยไม่ได้ทดสอบการใช้งานแบบ 2 ซิม ขออนุญาตแนะนำให้ดูจากบล็อก Mini Review ตามใจฉัน Xperia Z3+ Dual Sim (Xperia Z4)ครับ เพราะว่าตัว ROM ของโซนี่แต่ละรุ่นนั้นไม่น่าจะต่างกันมากนัก การใช้งานก็น่าจะเหมือนๆ กันครับ

 

Software

ในส่วนของ Software และ ROM ของโซนี่ผมจะขอพูดถึงหน้าตาทั่วไป แล้วก็แอปประจำเครื่อง ของโซนี่ได้แก่ Music, Album และ Videoส่วนของ Playstation นั้นจะขอข้ามไป เพราะผมไม่ได้ทดลองใช้ครับ (ไม่มีเครื่อง Playstation และเหมือนตอนนี้โซนี่กำลังปรับอะไรอยุ่)

มาเริ่มกันที่หน้าของ Home Screen กันครับ

 

หน้า Home Screen ของโซนี่นั้นจะมาแบบเรียบๆ ไม่ได้ปรับแต่งอะไรเท่าไรครับ จะมีก็แค่ธีมของโซนี่เอง สำหรับ Home Screen lามารถเพิ่มได้สูงสุดเป็น 7 หน้า เมื่อทัชที่จอสักครู่ก็จะมีเมนูสำหรับการเลือกวาง App shortcut, Widget, เปลี่ยน Wallpaper, เปลี่ยน Theme และสิ่งที่เพิ่มมาใน Android 5.0 ของโซนี่คือ Home Settings ที่สามารถตั้งค่าได้ว่าต้องการให้หน้า Home Screen หมุนเป็นแนวนอนได้หรือไม่

 

สำหรับมือถือหรือแท็บเล็ต Xperia นั้นมีธีมให้เลือกค่อนข้างเยอะครับ สามารถหาดูและดาวน์โหลดได้ผ่านทางแอป What’s New ของโซนี่ ผมก็ลองโหลดธีมของ MAD MAX มาใช้เล่นดู ก็ให้อารมณ์แปลกใหม่ดีครับ

 

มาต่อกันที่แอป Albumที่เป็นแอปสำหรับดูรูปภาพที่ติดมากับเครื่อง Xperia ทุกเครื่อง สำหรับการใช้งานทั่วไปก็ไม่ค่อยมีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ ตอนเข้าแอปจะมีแนะนำว่าสามารถเปิดใช้งาน PlayMemoriesที่เป็นบริการเก็บและซิงค์ภาพของโซนี่ได้ โดย PlayMemoriesนั้นอนุญาตให้เราฝากไฟล์ภาพขนาดไม่ใหญ่เกิน Full-HD (1080 x 1920) ได้ฟรีๆ แบบไม่จำกัดพื้นที่นั่นเอง

 

สำหรับการใช้งานเพื่อดูภาพก็คล้ายๆ กับแอปดูภาพทั่วไป แต่จะสามารถ Swipe ปัดหน้าจอเพื่มเปลี่ยนการแสดงผล Thumbnail ภาพให้เล็กลงหรือใหญ่ขึ้นนั่นเอง สำหรับใครที่เคยใช้ Xperia มาก่อนน่าจะคุ้นชินครับ

 

สำหรับเมนูด้านซ้ายก็สามารถเลือกดูภาพตามหมวดหมู่ได้เล็กน้อยครับ เช่น ภาพที่มีข้อมูลสถานที่ ภาพจากการแต่งด้วยแอปกล้อง ภาพหน้าคน เป็นต้น และสามารถเลือกดู Devices ที่เปิดเป็น Media Server เพื่เข้าไปดูได้ด้วยครับ นอกจากนี้แล้วยังสามารถซิงค์กับบัญชีอย่าง Facebook หรือ Picasa เพื่อซิงค์รูปภาพได้ด้วย

 

เมื่อเข้ามาดูในส่วนของ Settings ของ Albumก็จะมีให้ตั้งค่าการซิงค์ ปรับการแสดงผล Navigation menu รวมถึงการตั้งให้มือถือเป็น Media Server ครับ

 

มาต่อกันที่แอป Videoครับ สำหรับแอป Videoของโซนี่นั้นฟีเจอร์ต่างๆ ก็ถือว่าครบครัน แน่นอนว่าอย่างแรกคือมันสามารถเปิดเล่นไฟล์วิดีโอได้ (ก็มันแอปเล่นวิดีโอนี่เนอะ) สามารถเล่นไฟล์ MKV และปรับแต่งขนาดฟอนท์ของซับไตเติลได้ (คาดว่ายี่ห้ออื่นก็ทำได้เช่นกัน) สำหรับเมนูของแอปนั้นจะสามารถเลือกดูประวัติการดูวิดีโอได้ รวมถึงเลือกไฟล์จาก Media Server ได้

 

วิดีโอสามารถเล่นได้ตั้งแนวตั้งและแนวนอนครับ นอกจากนี้แล้วยังปรับลงมาเป็นจอเล็กแบบ YouTube ได้อีกด้วย และหากต้องการปิดก็สามารถปัดไปทางกลางจอแบบ YouTube ได้เลย

 

แอปตัวสุดท้ายที่เราจะพูดถึงก็คือแอป Musicผู้สืบทอดแอปเล่นเพลงของโซนี่จากเดิมที่ใช้ชื่อว่า Walkman สำหรับ Musicนั้นมีหน้าตาที่น่าสนใจครับ และมีเอกลักษณ์โดดเด่นกว่าแอปทั้ง 2 แอปที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ เริ่มเข้ามาที่หน้าแรกก็จะพบรายการเพลงอยู่ ถ้าเราฟังเพลงอยู่ก็จะแสดงคิวเพลงที่เล่นอยู่และลำดับต่อๆ ไปอีก 2 ลำดับ ว่ามีเพลงอะไรบ้าง และด้านล่างก็จะแสดงว่าเราเพิ่งเล่นเพลงหรือ Playlist ไหนไป

 

ทางขวาล่างจะเห็นวงกลมพร้อมสัญลักษณ์โน้ตดนตรีอยู่ นั่นคือฟีเจอร์ที่มากับ Music เรียกว่าปุ่ม Quick Play โดยเราสามารถตั้งค่าการทำงานผ่านหน้า Settings ของ Musicได้ดังนี้

  1. สุ่มเล่นเพลงจากทั้งหมด
  2. สุ่มเล่นเพลงจากเพลงที่เราฟังบ่อย
  3. สุ่มจากเพลงที่เพิ่งเพิ่มเข้ามา
  4. สุ่มเล่นจากเพลงที่เราเลือกเป็น Favorite ไว้
  5. หรือจะซ่อนการแสดงปุ่มนั้นไปเลยก็ได้

 … อ้อ สำหรับแอป Musicตัวนี้จะเป็นรุ่น Beta นะครับ สังเกตที่ขวาบนจะมีตัวหนังสือสีแดงๆ บอกรุ่นเบต้าเอาไว้

พอเปิดเมนูด้านข้างออกมาดูก็พบกับตัวเลือกมากมาย โดยสามารถเลือกดูเพลงในคิว ดูรายชื่อเพลงตามชื่อศิลปิน, อัลบัม, เรียงตามชื่อเพลง หรือแบ่งตามที่อยู่ของเพลงในโฟลเดอร์ก็ได้ ถ้าหากเลือกดู Playlist ก็จะพบเห็น Playlist ทั้งที่แอปสร้างไว้ให้ เช่น เพลงเพิ่มมาใหม่ (Newly Added) หรือ เพลงที่เล่นบ่อย (Mostly Played) และเราสามารถสร้างเพิ่มเองได้ทั้งในมือถือเลย หรือจะ Sync จากคอมผ่านโปรแกรม Media Go ของโซนี่ก็ได้ครับ ภาพรวมตรงนี้จะคล้ายๆ กับสมัยยังเป็น Walkman 

สำหรับเมนู Home network นั่นก็คล้ายๆ กับของ Video ครับ คือเราสามารถเลือกเปิดเพลงจากอุปกรณ์ที่อยู่ใน Wi-Fi เดียวกันได้ จากที่ผมทดสอบใช้โน้ตบุ๊กเปิด Media Go ก็สามารถเปิด Media Sharing ให้มือถือเห็นได้ครับ ทำให้มือถือสามารถ Stream เพลงบนโน้ตบุ๊กมาเล่นบนมือถือได้

 

กลับมาที่หน้าแรกอีกรอบหนึ่ง สำหรับปุ่ม 3 จุดขวาบน (Option) นั้น ในแอป Musicสามารถตั้งเวลาในการเล่นเพลงได้ครับ โดยสามารถเลือกให้เล่นเพลงได้นาน 15 นาที, 30 นาที, 1 ชั่วโมง หรือ 2 ชั่วโมง ก่อนที่เครื่องจะหยุดเล่นเพลงเอง เหมาะสำหรับใครที่ชอบฟังเพลงก่อนนอนแล้วกลัวผลอยหลับไปแล้วลืมปิดเพลงครับ

 

ภาพขวาเป็นเพลงที่เล่นจาก Home Network จะมีสัญลักษณ์อยู่ข้างชื่ออัลบัมครับ

เอาล่ะ ถ้าสังเกตด้านล่างของหน้าหลักจะเห็นว่ามีแถมเพลงที่กำลังเล่นแสดงอยู่ด้วยครับ เราก็ลองจิ้มเข้าไปดูหน้าเล่นเพลงเลยดีกว่า ในหน้าเล่นเพลงก็จะพบกับพื้นที่ด้านบนขนาดใหญ่ที่จะโชว์ปกอัลบัมให้เราเห็น ถ้าเพลงไหนไม่มีข้อมูลปกก็จะแสดงเป็นภาพแผ่นดิสก์ คล้ายๆ กับ Walkman รุ่นก่อนครับ แต่ภาพจะต่างกันไปนิดหน่อย ร่นลงมาข้างล่างหน่อยก็จะเห็นชื่อเพลง ศิลปิน อัลบัม และบริเวณที่ควบคุมการเล่นเพลง สำหรับการใช้งานในหน้านี้ผมจะพบปัญหาหลักๆ อยู่อย่างก็คือ เวลาที่เราใช้นิ้วลากตำแหน่งบน seekbar ไปซ้ายสุดจอ จะพบว่าไม่สามารถลากให้มันไปอยู่ตำแหน่งเริ่มต้นเพลงได้ (ออกมาสภาพเหมือนภาพขวา) เพราะทัชจะหลุดพ้นจอก่อน ดังนั้หากจะย้อนเพลงก็ต้องใช้ปุ่ม previous เอาครับ เอาจริงๆ ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร แต่ก็มองว่าเป็นจุดด้อยจุดหนึ่ง

 

ถ้าหากกดปุ่ม option ขวาบนก็จะพบตัวเลือกมากมายเลยครับ เช่น Throw เพื่อเล่นเพลงบนอุปกรณ์อื่น, Visualizer ที่แสดงเอฟเฟกต์ประกอบเพลง ไม่ต่างกับสมัยก่อน (เป็นฟีเจอร์ที่ผมแทบไม่เคยใช้เลย) ที่น่าสนใจก็คือ Edit music info ที่เมื่อเข้าไปแล้วจะสามารถดาวน์โหลดทั้งข้อมูลของเพลงและภาพปกอัลบัมได้ครับ

 

น่าจะสังเกตเห็นแล้วว่าแอป Musicของโซนี่จะเล่นภาพปกอัลบัมมาก ก็จริงครับ เพราะโซนี่ถึงเข้าเอาภาพปกอัลบัมของเพลงที่กำลังเล่นอยู่มาทำเป็น Backgroud หน้า Lock screen ของเครื่องเลยครับ ฮา … ถ้าได้ปกสวยๆ และมีปกในหลายๆ เพลง หน้า Lock screen ก็จะเปลี่ยนไปได้หลากหลายทำให้ดูมีสีสันมากขึ้นครับ

 

สำหรับฟีเจอร์ด้านเสียงของโซนี่นั้นก็มี ClearAudio+, ClearStereo, ClearBass มาให้ตามสไตล์มือถือ Xperia ครับ แต่สิ่งที่เพิ่มมาในมือถือรุ่นใหม่ๆ คือสามารถปรับเสียงให้เหมาะกับหูฟังเป็นรุ่นๆ ไปได้ โดยปัจจุบันจะมีเฉพาะการตั้งค่าที่ปรับให้เหมาะกับหูฟังของโซนี่เท่านั้น (หูฟังทั่วไปก็เลือกใช้ตัวเลือกนี้ได้ครับ แต่อาจจะได้เสียงที่ไม่เข้ากัน) โดยแต่ละรุ่นที่มีให้เลือกนั้นเป็นหูฟังแถมในมือถือรุ่นก่อนหน้า บางรุ่นบ้านเราอาจจะไม่ได้แถมมา เพราะของที่บรรจุมาต่างโซนก็ต่างชนิด 

 

เผอิญผมมีหูฟัง MH1Cอยู่เลยถือโอกาสหยิบมาลอง โดยปกติแล้ว MH1Cนั้นจะมีเสียงเบสค่อนข้างชัดและจะเด่นกว่าเสียงโทนกลางและแหลม พอลองเลือกการตั้งค่าหูฟังดูก็พบว่าเสียงทางเบสจะเบาลงเล็กน้อยและเสียงโทนกลางแหลมจะชัดขึ้นมาครับ ฟังเล่นไปนิดหน่อย ก็ยังบอกไม่ถูกว่ามันดีแค่ไหน แต่ผมว่าก็เป็นฟีเจอร์ที่น่าสนใจ และได้ข่าวแว่วๆ มาว่าอนาคตโซนี่จะปรับให้รองรับหูฟังทุกรุ่น โดยอาศัยการวัดความต้านทานของหูฟังก่อนปรับค่าเสียงครับ

 

สรุป

หลังจากได้ใช้งานมา 1 สัปดาห์เต็มๆ ผมรู้สึกว่า Xperia C4 Dualนั้นใช้งานได้ดีทีเดียว ในด้านซอฟท์แวร์นั้นทำงานทั่วไปได้ลื่นไหลดี จะมีช้ายังไม่ถูกใจหน่อยก็คือการใช้ปุ่มชัตเตอรเพื่อเปิดกล้อง ยังทำเวลาได้ไม่เร็วทันใจนัก ส่วนใหญ่จะใช้เวลาราวๆ 1 วินาที ช้าสุดคือราว 3-5 วินาที การใช้งานกล้องสำหรับถ่ายภาพนิ่งถือว่าไม่เลวสำหรับมือถือระดับกลาง การจับโฟกัสทำได้ค่อนข้างเร็วทั้งภาพกลางวันและกลางคืน แต่สำหรับการถ่ายวิดีโอนั้นผมอาจจะขอเรียกว่ายัง “กาก” อยู่ โดยเฉพาะการป้องกันการสั่นขณะถ่ายวิดีโอ แอปของโซนี่เองก็ก็ตอบสนองความต้องการทั่วไปได้ครบถ้วน ในแง่ของฮาร์ดแวร์ งานออกแบบ วัสดุก็ดูหรูหราแบบโซนี่ จับถือแล้วรู้สึกว่าเบา แต่สำหรับผมแล้วรู้สึกว่าจอ 5.5 นิ้วนั้นใหญ่ไปสักหน่อยทำให้ใช้งานมือเดียวไมถนัด

 

จุดเด่น

  • หน้าจอสีสันสวยงาม จอความละเอียด Full-HD
  • กล้องหน้าเลนส์มุมกว้าง เก็บภาพได้กว้างดี และเก็บภาพได้ค่อนข้างสว่างแม้ไม่เปิดแฟลช
  • ใช้งานได้ 2 ซิม และใส่ microSD ได้สูงสุด 128 GB โดยไม่ได้แทนที่ช่องใส่ซิม
  • แอปของโซนี่ (Album, Video, Music) มีอัพเดตอยู่เรื่อยๆ ทำให้ได้มีการปรับปรุงตลอดเวลา
  • จากผลงานการอัพเดต Firmware ก่อนหน้านี้ น่าจะคาดหวังการซัพพอร์ทในระยะยาวจากโซนี่ได้
  • แบตเตอรี่ใช้งานได้พ้นวันสบายๆ
  • ราคาถือว่าไม่แพงเท่าไรนัก อยู่ที่ 10,990 บาท

 

จุดด้อย

  • หน้าจอขนาด 5.5 นิ้วอาจจะไม่เหมาะสำหรับคนมือเล็กหรือชอบใช้งานมือถือ
  • กล้องไม่ได้มีอะไรโดดเด่น ระบบกันสั่นขณะถ่ายวิดีโอมีเพียงซอฟท์แวร์เท่านั้น ไม่มี OIS
  • กล้องหลังเป็นรอยเปื้อนค่อนข้างง่าย ควรมีผ้าเช็ด (เวลาหยิบนิ้วผมไปโดนบ่อยมาก)
  • ถอดแบตเตอรี่เปลี่ยนไม่ได้ (ต้องแกะเครื่อง ซึ่งไม่ได้ออกแบบมาให้แกะได้)
  • แม้ว่าลำโพงจะเสียงดังดี แต่ถ้าหากว่ากับพื้นเรียบๆ เสียงจะไม่ค่อยออก กลายเป็นเสียงเบาไปครับ

จบไปแล้วสำหรับรีวิว Xperia C4 Dualหวังว่ารีวิวนี้จะเป็นประโยชน์กับเพือนๆ ที่สนใจนะครับ Smile

OnePlus 2 เปิดตัวแล้ว มาพร้อม Snapdragon 810 / RAM 4GB ในราคาที่ถูกจนต้องร้องขอชีวิต

$
0
0

ในที่สุด OnePlus 2 ได้ฤกษ์เปิดตัวอย่างเป็นทางการเสียที สานต่อสมาร์ทโฟน Flagship Killer รุ่นแรกของบริษัทอย่าง OnePlus One โดย OnePlus 2มีการเพิ่มปุ่ม home ด้านล่างจอภาพ พร้อมเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ ส่วนสเปคก็อัดหนักจัดเต็มด้วย Snapdragon 810 และ RAM 4GB ในราคาที่ถูกจนต้องร้องขอชีวิต

      

ขนาดของหน้าจอ OnePlus 2ยังคงเท่ากับ OnePlus One แต่การแสดงผลของจอแสงและสีจะทำออกมาได้ดีกว่าเดิม ระบบสแกนลายนิ้วมือที่เพิ่มเข้ามา เขาเคลมว่าทำงานได้เร็วกว่าของ Iphone 6 แถมยังสามารถเก็บได้ถึง 5 ลายนิ้วมือ 

OnePlus 2จะมาพร้อมกับสีดำเพียงสีเดียว แต่มีฝาหลังให้เลือกหลากหลายแบบ StyleSwap โดยดีไซน์ให้สามารถถอดเปลี่ยนได้สะดวกและง่ายขึ้น หลังจากที่ OnePlus One รุ่นก่อนประสบปัญหาการถอดเปลี่ยนฝาหลังที่ยุ่งยากจนต้องเลิกผลิตฝาหลังแบบอื่นๆ ไป 

สเปคของ OnePlus 2

  • หน้าจอ IPS LCD 5.5นิ้ว Full HD 1920 x 1080p
  • CPU 64-bit Qualcomm  Snapdragon 810 processor 1.8GHz Octa-core
  • GPU Adreno 430
  • RAM 3GB/4GB
  • ROM 16GB/64GB (ไม่รองรับ mricroSD )
  • กล้องหลัง 13 ล้านพิกเซล + Dual LED Flash (OIS, lasor focus)
  • กล้องหน้า 5 ล้านพิกเซล
  • รองรับการบันทึกวิดีโอความละเอียดระดับ 4K และวิดีโอแบบ Slow-motion ความคมชัด 720p ที่ความเร็ว 120 เฟรมต่อวินาที
  • เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ, Accelerometer, Gyroscope, Proximity and Ambient Light
  • แบตเตอรี่ 3,300mAh
  • รองรับการใช้งาน 2 ซิม
  • การเชื่อมต่อ 3G/ 4G LTE
                    USB Type-C
                    รองรับ Dual-band Wi-Fi: 2.4GHz 802.11b/g/n and 5GHz 802.11a/n/ac
  • ขนาดตัวเครื่อง 151.8 x 74.9 x 9.85 มิลลิเมตร หนัก 175 กรัม

  

OnePlus 2เปิดตัวมาด้วยราคา $329 ( ≈ 11,473) สำหรับความจุ 16GB / RAM 3GB และ $389 ( ≈13,565) สำหรับความจุ 64GB / RAM 4GB ถูกคุ้มค่ามาก~ สมกับเป็น Flagship Killer 2016 สเปคเทียบเท่ารุ่นเรือธงแต่ราคาถูกกว่าเกือบครึ่ง นี่มันเกิดมาเพื่อฆ่ากันชัดๆ แต่มันก็ต้องมาตกม้าตายตรงที่ไม่มีทั้ง NFC, microSD, Quick Charge, Wireless Charging ถ้าจะลืมใส่อะไรเยอะขนาดนี้หล่ะก็ เอาสมญา Flagship Kill Featues ไปอีกอันเลยละกัน แต่ด้วยราคาที่ไม่แพงมากถ้าใครยอมรับจุดนี้ได้ก็ถือว่าโอเค

ส่วนการสั่งซื้อ OnePlus 2ยังคงต้องใช้การเชิญหรือระบบ invite ในการสั่งซื้อเหมือนเดิม แต่อาจจะง่ายขึ้นกว่าครั้งก่อน เพราะมีการขยายคลังสินค้าเพิ่มขึ้นแล้ว โดย OnePlus 2จะพร้อมออกสู่ตลาดในวันที่ 11 สิงหาคมนี้ 


Source: gsmarena

Samsung Unpack 2015 เตรียมพบ Galaxy ตัวใหม่ สาวกโปรดกาปฏิทินรอ 13 สิงหาคมนี้เจอกัน

$
0
0

Samsung ประกาศอย่างเป็นทางการแล้วว่าจะมีงานแกะกล่อง Unpack Next Galaxy ที่หลายคนรอคอย ซึ่งคราวนี้ได้ปล่อยรูปทีเซอร์ปริศนาออกมาแบบเงียบๆ ไม่มีรายละเอียดใดๆ ทั้งสิ้นนอกจากบอกว่างานจะจัดขึ้นในวันที่ 13 สิงหาคมนี้ที่ลินคอล์นเซนเตอร์ นิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา เวลา 11.00 น.(เวลาไทยประมาณ 4 ทุ่ม)

เห็นรูปทีเซอร์แล้วพอจะตีความออกมั้ยคะว่าทาง Samsung ต้องการจะสื่ออะไร ? สังเกตที่ขอบที่นูนๆ ขึ้นมาในภาพมีลัษณะคล้ายกับขอบจอโค้งของ S6 edge จึงมีการคาดเดาได้ว่าภาพทีเซอร์ปริศนานี้น่าจะสื่อถึง Galaxy S6 edge+ ส่วน Galaxy Note 5 อาจจะต้องรอดูท่าทีของ Samsung ว่าจะแง้มอะไรออกมาก่อนจะถึงวันเปิดตัวหรือเปล่า หรือจะมาตู้มเดียวตอนวันเปิดตัวเลย


Source :samsungtomorrow via gsmarena

พบช่องโหว่ MMS ใน Android อาจทำให้สมาร์ทโฟนของคุณโดน Hack ได้โดยไม่รู้ตัว (Update วิธีป้องกัน)

$
0
0

ทีมวิจัยระบบความปลอดภัย Zimperium ได้ค้นบพบช่องโหว่ Stagefrightในระบบ MMS ของ Android ที่ Hacker สามารถเข้ามาควบคุมสมาร์ทโฟนของคุณได้ทันทีหากมีการส่ง MMS Video ที่ซ่อน Malware เข้ามาที่เครื่องของเรา

ซึ่ง Malware ชนิดนี้จะทำงานทันทีหาก Android เครื่องนั้นๆ มีการเลือกใช้ Hangout เป็นตัวรับส่งข้อความ MMS แทนแอปอ่านข้อความหรือ Messaging ของเครื่อง เนื่องจาก Hangout มีกระบวนการโหลดเอาข้อความ MMS มาที่เครื่องทันทีแม้จะยังไม่ได้มีการเปิดอ่าน แต่แอป Messaging ที่มากับเครื่องนั้นจะต้องให้เราเข้าไปเปิดอ่านก่อนถึงจะมีการโหลดข้อมูลมา และ MMS Malware ตัวนี้จึงจะเริ่มทำงานได้

ในตอนนี้ทาง Google ได้ทราบปัญหาจากช่องโหว่ Stagefrightนี้แล้ว แต่การแก้ปัญหานั้นไม่ได้อยู่ที่ตัวแอปพลิเคชั่นอย่าง Hangout แต่อยู่ที่ช่องโหว่ของการเล่นไฟล์วิดีโอที่แนบมากับ MMS เพราะฉะนั้นหากจะมีการอัพเดทเพื่อปิดรูรั่วนี้ได้สมบูรณ์ ต้องเป็นทางค่ายมือถือที่ต้องปล่อยอัพเดทออกมาแก้ไขเท่านั้น

ช่องโหว่นี้ถือว่าอันตรายมาก เพราะแค่ส่ง MMS Malware มาที่เครื่องก็สามารถควบคุมเครื่องเราได้ สามารถก้อปปี้ข้อมูล เปิดกล้องทำอะไรกับมือถือเราก็ได้ เพราะฉะนั้นการที่จะรอให้แบรนด์ต่างๆ มาอัพเดทอาจไม่ทันการ เราก็ต้องหาวิธีแก้ไข ปิดช่องโหว่นี้กันไปก่อนดีกว่าครับ

 

วิธีที่ 1 ลบการตั้งค่า APN MMS ทิ้งไปเลย 

เอาจริงๆ ตอนนี้แทบจะไม่มีคนใช้ MMS กันแล้ว เพราะเรามี LINE, Facebook , twitter รวมถึงช่องทางในการส่งข้อความและส่งรูปต่างๆ เต็มไปหมด ในเมื่อไม่ได้ใช้ MMS แล้วก็ไม่ต้องรับมันซะเลย ลบการตั้งค่าทิ้งไปเลยก็ได้เพื่อความปลอดภัย โดยเข้าไปที่ Mobile Network > Access Point Name > MMS แล้วก็ลบทิ้งหรือ Delete ไปเลยก็ได้ 

 

วิธีที่ 2 ปิดการรับข้อความ MMS แบบอัตโนมัติ

เข้าแอป Messaging > Setting > MMS > ปิด Auto Retrieve หรือการรับข้อความอัตโนมัติ 

 

เข้าแอป Hangouts > Setting > SMS > เลื่อนลงไปปิด Auto Retrieve MMS หรือการรับข้อความอัตโนมัติ

 

source : blognone 1 , 2 , npr ,  engadget 

Instracube กรอบรูปสุดฟินสำหรับคนเสพติดรูปบน IG

$
0
0

เชื่อว่าในยุคโซเชียลแบบนี้คงไม่มีใครไม่มี Instragram หรือ IG เอาไว้แชะ เอาไว้โชว์ภาพอวดเพื่อนบนโลกโซเชียลกันนะคะ ซึ่งนอกจากจะเอาไว้ลงภาพแล้วเราก็ยังใช้ IG เป็นที่ส่องความเป็นไปของเพื่อนๆ ร้านค้า หาภาพสร้างแรงบันดาลใจ ไปยันการติดตามบรรดาซุปตาร์ที่เราชื่นชอบ

ยิ่งเดี๋ยวนี้หลายๆ คนติด IG กันจนถึงขั้นต้องคอยอัพเดตภาพกันตลอดเวลา แต่ครั้งจะนั่งทำงานไปเปิดมือถือไสลด์ดูภาพทั้งวี่ทั้งวันเจ้านายคงไล่ออกแน่นอน วันนี้ KengKawiz เลยมีทางออกง่ายๆ มาให้กับกรอบรูป Instracube โปรเจคบนหน้าเว็บไซต์ Kickstarter ที่มีคนมาร่วมสนับสนุนกันคับคั่ง ... แค่มีกรอบรูปวิเศษนี้สาวก IG ก็จะฟิน~ ทำงานไปดูรูปจากInstragram ไป พร้อมกดถูดใจได้ทุกเมื่อที่ต้องการ!

เอาหละตามธรรมเนียมของเรานะคะ ต้องเริ่มด้วยการแกะกล่องแบบไวๆ เพื่อส่องดูของข้างในกันก่อน :]

กล่องใหญ่อลังมากค่ะ แต่ของข้างในจะมีแค่กรอบรูป Instracube , สายชาร์จ , ใบรับประกัน และคู่มือการใช้งานเท่านั้น =.=

อย่างที่บอกนะคะว่า Instracube เป็น gadget ที่เกิดมาเพื่อคนติด IG โดยเฉพาะ เพราะแค่ตั้งไว้เฉยๆ มันก็สามารถดึงรูปจากหน้าฟีด Instagram ของเราขึ้นมาแสดงให้เราดูได้แบบไม่ต้องง้อมือถือเลย พร้อมอัพเดตกันให้แบบ real-time เมื่อเป็นแบบนี้ก็ไม่น่าแปลกที่หน้าตาของเจ้ากรอบรูปนี้จะออกมาเหมือนโลโก้ของ Instragram เด๊ะๆ ขนาดนี้ :]

โดยการใช้งาน Instracube จะต้องเชื่อมต่อกับ wifi และทำการ log-in เข้า Instragram ตามปกติเพื่อให้เจ้ากรอบรูปนี้สามารถไปดึงข้อมูลจาก Instragram ของเรามาแสดงได้

ก่อนอื่นเลยก็ต้องกดปุ่มวงกลมด้านบนตัวกรอบรูปค้างไว้เพื่อเปิด(หรือปิด)การใช้งานเสียก่อน และเมื่อเปิดขึ้นมาในครั้งแรกก็จะมีหน้าขึ้นมาให้เราเลือกกด Connect เพื่อเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ทจากบนหน้าจอสัมผัสขนาด 6.5นิ้ว ได้ทันที จากนั้นก็ log-in เข้า Instragram กันได้ตามปกติ เพียงแค่นี้ก็พร้อมใช้งานแล้วหละ!

ด้านหน้าของ Instracube จะเป็นหน้าจอสัมผัสที่ให้เราเลื่อนขึ้น-ลงดูภาพต่างๆ ได้ไม่ต่างจากหน้าฟีดในแอพพลิเคชั่นบนมือถือ และหากดูภาพแล้วอยากจะรู้รายละเอียดเพิ่มเติมอย่าง caption, จำนวนคนกดถูกใจ หรือจะไปเลือก follow-unfollow กันได้ทันทีเพียงแค่ลากภาพนั้นไปไปทางซ้ายมือค่ะ

ส่วนหากอยากดูภาพแบบหลากหลายภาพในโหมด tile ก็แค่ใช้สองนิ้วบีบเข้าเหมือนการย่อภาพบนสมาร์ทโฟน เมื่อเจอภาพที่ถูกใจ อยากขยายดูภาพขนาดใหญ่เต็มจอก็แค่แตะที่ภาพนั้นๆ เพื่อขยายภาพได้ทันที

และหากถูกใจภาพไหนสามารถกดปุ่มรูปหัวใจด้านบนกรอบรูป Instracube เพื่อเป็นการไลค์รูปได้เลย หรือถ้าจะเปลี่ยนใจอยากเอาหัวใจออกก็แค่กดปุ่มเดิมซ้ำอีกครั้งค่ะ

ส่วนปุ่มรูปสี่เหลี่ยมด้านบนของ Instracube นั้นจะมีหน้าที่แบบ 2 in 1 ถ้ากดหนึ่งครั้งจะเป็นการเลือกเปลี่ยนหน้าจากหน้าฟีดไปยังหน้าอื่นๆ ได้ ทั้งการค้นหาภาพจากชื่อผู้ใช้งาน หรือ #, หน้าภาพที่ได้รับความนิยม และยังมีหน้าแสดงภาพที่เราไปกด like ให้หัวใจกันด้วยนะ

ส่วนถ้ากดปุ่มนี้ค้างไว้มันก็จะพาเข้าไปสู่หน้าการตั้งค่าค่ะ

ด้านแบตเตอรี่ของ Instracube เมื่อชาร์จแล้วจะใช้งานแบบไร้สายได้ แต่ก็คงตอบโจทย์การเสพติด IG ไม่ได้ฟินเท่าที่ควรเพราะงั้นถ้าใครที่ต้องการใช้ได้ตลอดๆ ก็แนะนำให้ต่อสาย เสียบปลั๊กซะนะจ๊ะ!

 

ส่วนด้านสเปคคร่าวๆ ของ Instracube จะนี้มีดังนี้เลย~

 

หน้าจอ : LCD ขนาด 6.5นิ้ว (600x600p)

หน่วยประมวลผล : ARM Processor

หน่วยความจำภายใน : 4GB Internal Flash Memory

แรม : 256MB RAM

การเชื่อมต่อ : 802.11b/g/n Wi-Fi

ระบบปฏิบัติการ : Android 

งานนี้สาวก IGที่อยากครอบครอง Instracube แต่ไม่ทันได้ไปร่วมระดมทุนก็ไม่ต้องเสียใจไป เพราะตอนนี้เห็นเริ่มมีคนเอามาขายตามอินเตอร์เน็ทกันแล้ว แต่เรื่องราคานี่ยังหลากหลายมากๆ แถมยังมีให้เลือกทั้งของใหม่แกะกล่องและของมือสองด้วย ยังไงใครที่สนใจลองไป search หาสภาพที่ใช่ ราคาที่พอใจกันได้ค่ะ :]

 

Viewing all 6898 articles
Browse latest View live