แล้วก็มาถึงรุ่นที่ 4 ของสมาร์ทโฟนในตระกูล GALAXY Noteที่หลายๆคนเฝ้ารอคอย และเป็นที่จับตามองกันว่าจะมีความเปลี่ยนแปลงรอรับการมาของ iPhone ที่เตรียมรุกเข้าตลาด Phablet (สมาร์ทโฟนจอใหญ่) อย่างไรบ้าง ซึ่งก็เป็นที่ชัดเจนว่าทาง Samsung ยังคงเลือกใช้ปากกา S Pen เป็นจุดขายสร้างความแตกต่างให้กับ Galaxy Note 4ด้วยการพัฒนาและเพิ่มความสามารถมากมาย และใส่เทคโนโลยีที่หลายๆคนเห็นแล้วอาจต้องร้องว่า “นี่แหละที่รอคอย”
มาดูคลิปโปรโมทแนะนำ Galaxy Note 4 สำหรับคนที่อยากดูภาพรวมว่ามันทำอะไรได้บ้าง
จุดเด่นของ Galaxy Note 4 ที่น่าสนใจคงจะมีหลักๆ 4 ส่วนนี้คือ
1. S Pen & S Note : มีการพัฒนาให้ใช้งานได้ง่ายและดีขึ้นกว่าเดิมได้อีก
2. กล้องหน้า-หลัง : เพิ่มความละเอียด และถ่ายภาพได้ไม่สั่นไหว
3. Multitasking : การทำงานหลายๆอย่างพร้อมกันได้ง่ายขึ้น
4. Power Management : กินไฟน้อยลง และชาร์จไฟได้เร็วขึ้น
แต่ก่อนที่เราจะไปไล่เรียงจุดเด่นแต่ละข้อ เรามาดูข้อมูลพื้นฐานที่คนให้ความสนใจกันก่อน นั่นคือ สเปคและดีไซน์ของ Galaxy Note 4
สเปคแบบคร่าวๆของ Galaxy Note 4
Android 4.4
CPU : Exynos 5433 Octa-core หรือ Snapdragon 805 Quad-core
หน้าจอ 5.7” Super AMOLED ความละเอียด QHD
RAM 3GB + หน่วยความจำ 32GB + microSD
รองรับ 3G/4G ทุกเครือข่าย ทุกรุ่น
กล้องหลัง 16MP + OIS // กล้องหน้า 3.7MP + f1.9
แบตเตอรี 3,220 mAh
สามารถไปดูเต็มๆได้ที่ [สเปคและราคา] Samsung Galaxy Note 4 และ Galaxy Note Edge
วัสดุและการดีไซน์
ส่วนที่เปลี่ยนแปลงจาก Galaxy Note 3 อย่างชัดเจน คือขอบเครื่อง และขอบจอ
โดยขอบเครื่องได้นำเอาวัสดุโลหะมาใช้ เหมือนกับ Galaxy Alphaที่เปิดตัวไปก่อนหน้า แต่ว่าก็เป็นแค่ส่วนเดียวเท่านั้นที่เป็นโลหะ เพราะฝาหลังซัมซุงยังคงเลือกใช้วัสดุหนังสังเคราะห์เหมือนเดิม แต่เปลี่ยนพื้นผิว ตัดส่วนที่เป็นรอยเย็บออกไป
ขอบจอมีความโค้งมนที่ 2.5D โดยซัมซุงบอกว่าขอบจอแบบนี้จะทำให้เครื่องมีความแข็งแรงทนทานต่อแรงกระแทกมากขึ้น
สำหรับเรื่องความเบาและความบางของ Galaxy Note 4ไม่ได้ดีขึ้นกว่า Galaxy Note 3 แต่ก็หนาและหนักขึ้นกว่าเดิมแบบที่ไม่น่าจะรู้สึกได้ และมีตัวเลือกสีให้เลือกถึง 4 สี พร้อมชื่อเรียกที่ไม่ยอมเป็นแค่ ดำ ขาว ทอง ชมพู
จริงๆเรื่องดีไซน์นี้มีการรวมถึง UX/UI ที่ปรับปรุง และ Samsung ได้พรีเซนต์เป็นหนึ่งในจุดเด่นของ Galaxy Note 4แต่ส่วนตัวยังไม่คิดว่าภาพหน้าจอล็อคสกรีนที่เปลี่ยนได้อัตโนมัติจากการไปดึงภาพบนอินเทอร์เน็ตมา วิดเจ็ดโปร่งใส หรือไอคอนที่แฟลตลงกว่าเดิมอีกหน่อยจะเป็นจุดเด่นอะไรนัก ส่วนหน้าจอของ Note 4 ก็ใช้เป็นแบบเดียวกับ Galaxy Tab S ที่การันตีคุณภาพว่าน่าจะดี ซึ่งลองไปอ่านจาก[ทดสอบหน้าจอ Galaxy Tab S ที่ถูกขนานนามว่าเป็นสุดยอดของหน้าจอของวันนี้]
ว่าแล้วก็มาเริ่มส่องจุดเด่นของ Galaxy Note 4 กันเลยดีกว่า
1. S Pen & S Note
จุดเด่นของ Galaxy Noteตั้งแต่รุ่นแรกมาก็คือปากกา S Penที่แต่ละรุ่นที่ออกมา Samsung ก็ยิ่งเพิ่มความสามารถและประสิทธิภาพของมันขึ้นไปให้เข้าใกล้กับปากกาจริงๆมากขึ้นเรื่อยๆ จนหลายๆคนเลือกที่จะใช้ปากกาแทนนิ้วจิ้มลงบนหน้าจอด้วยซ้ำ
ตัวของ S Pen ใน Galaxy Note 4มีการพัฒนาให้รับรู้ถึงความหนักเบาในการกดมากกว่ารุ่นเก่าถึงเท่าตัว และที่คงต้องเฮกันเมื่อมีการบอกว่าเราสามารถเขียนได้แม้ว่าเราจะจับปากกาเอียงๆอยู่ก็ตามที
แต่ฮาร์ดแวร์ที่ดีก็ต้องคู่กับซอฟท์แวร์ที่ใช้งานด้วยกันเพื่อความสามารถที่แท้จริงด้วย โดยใน Galaxy Note 4ได้มีการปรับเปลี่ยนคำสั่งใน Air Commandเพิ่ม Smart Selectเข้าไป เพื่อให้ผู้ใช้ตัดภาพที่ต้องการรวบรวมเอามาเก็บๆรวมๆกันได้อย่างง่ายดาย ไปดูตัวอย่างการใช้งานกัน
กดเรียก Air Command > ลากเพื่อจัดเก็บภาพบริเวณที่ต้องการ > รวมหลายๆภาพที่ต้องการไว้ด้วยกัน
เข้าไปยังแอพที่รองรับ > ลากวางปุ๊บ ส่วนที่เราตัดเก็บเอาไว้จะแนบไปกับเอกสารนั้นทันที
และนอกจากนี้ S Pen ยังถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้คล้ายๆเม้าส์อีกด้วย เช่น
เราสามารถลาก S Pen เพื่อเลือกภาพที่ต้องการใน Gallery ได้ทีละหลายๆภาพ ไม่ต้องใช้นิ้วจิ้มที่ละไฟล์อีกต่อไป
หรือลากเพื่อเลือกข้อความใน Browser ก็ได้เหมือนกัน
นอกจากนี้นิสัยนึงของคนสมัยนี้คือชอบถ่ายภาพข้อมูลที่ถูกเขียนเอาไว้ ซึ่ง S Note ก็ยังช่วยให้จัดเก็บโน้ตพวกนี้ได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม ด้วย Snap Note ที่จะปรับมุมมอง ดึงข้อความเหล่านั้นออกมา แล้วก็เปลี่ยนมาให้เราจดบันทึกต่อได้ง่ายๆทันที เหมาะมากสำหรับนักศึกษาที่จดเลคเชอร์ หรือเวลาประชุมงานแล้วต้องการจะบันทึกข้อมูลกลับออกมา
ถ่ายภาพ - ปรับทัศนคติ เอ้ย มุมมอง - ดึงข้อความที่ต้องการ - แก้ไขเพิ่มเติม
สรุปต้องรอดูว่าการใช้งานปากกาจะทำออกมาได้ใช้งานง่ายและสมบูรณ์ขนาดไหน ถ้าเกิดว่าสะดวกมากๆ และเนียนไม่ต่างจากใช้กระดาษ + สมุดจริง ก็จะเป็นจุดเด่นของ Galaxy Note ที่แม้จะมีรุ่นเรือธงใหม่ๆ เน้นเสปคแรงๆราคาถูกๆออกมา ก็น่าจะหยุด Galaxy Note 4 ไม่ได้เพราะคนจะยอมจ่ายให้ฟีเจอร์ S Pen - S Note นี้เอง
2. กล้องหน้า-หลัง
Galaxy Note 4ปรับปรุงกล้องหน้าให้ดีมากขึ้นตามเทรนด์ที่ชอบถ่าย Selfie - Wefieกันมากขึ้น เพิ่มความละเอียดเป็น 3.7MP รับแสงได้กว้างถึง f1.9 และองศาการถ่ายภาพที่กว้างเป็น 90 องศา (จากปกติ 77องศา) และสามารถใช้ Heart Rate Sensor ด้านหลังแทนปุ่มชัตเตอร์ เพื่อให้กดถ่ายได้ง่ายขึ้น ป้องกันภาพสั่น
และช่วยแก้ปัญหาคนเยอะ ถ่ายเซลฟี่เก็บไม่หมดด้วย Wide Selfie หรือถ่ายภาพพานอราม่าด้วยกล้องหน้า ซึ่ง Galaxy Note 4จะทำให้เราเก็บภาพได้กว้างถึง 120 องศา เลยทีเดียว ซึ่งในงานก็มีการเดโมการใช้งานให้ดู และ Galaxy Note 4 ก็ทำออกมาได้อย่างน่าพอใจอยู่
ส่วนกล้องหลังที่ Samsung ยื้อทำเป็น Software (DIS) อยู่นาน ทำให้เวลาถ่ายภาพกลางคืนเราจะเห็นว่ากล้องต้องเสียเวลาประมวลผล 1-2 วินาทีในทุกภาพ สุดท้ายก็ยอมใส่ระบบกันภาพสั่น OIS (Optical Image Stabilization) ใน Galaxy Note 4เป็น Hardware มาให้สักที ทำให้ปัญหาดังกล่าวจะลดน้อยลง ซึ่งรุ่นพรีเมียมอื่นๆมีให้ใช้กันตั้งแต่ปีที่แล้ว
สรุปจากที่ Samsung เคยเด่นเรื่องกล้องจนตามหลัง แต่วันนี้ได้เพิ่มหลายๆอย่างกลับมาให้ทัดเทียมกับคู่แข่งแล้ว ก็ต้องรอดูว่าเมื่อถ่ายภาพและใช้งานจริงจะทำออกมาได้ดีขนาดไหน แก้ปัญหาการเปิดกล้องช้า-ถ่ายภาพหน่วงที่คาราคาซังมาตั้งแต่ Galaxy S4 ให้หมดไปได้หรือยัง
3. Multitasking
Multi Window เป็นความสามารถที่มีมาให้เห็นตั้งแต่ Galaxy Note 2 แต่ก็มีคนไม่เคยใช้หรือบ่นอยู่เนืองๆถึงความยากลำบากในการใช้งาน ซัมซุงก็รู้ปัญหานี้ดีจึงมีการปรับเปลี่ยนการใช้งานให้ทำได้ง่ายขึ้น
เปิดใช้งาน Multi Window เพียงลาแอพกจากมุมจอ ก็จะย่อขนาดแอพที่ใช้ได้ทันที
กดลากแอพขึ้นไปด้านบนของจอเพื่อเปิดใช้ split view ได้ทันที
สรุปเป็นการปรับให้ใช้งานหลากหลายแอพพร้อมกันได้ง่ายขึ้น และเข้าถึงกลุ่มคนอีกหลายๆกลุ่มได้ดีกว่าเดิม และนี่ก้เป็นอีกจุดเด่นของซีรีย์ส Galaxy Noteที่แม้ว่าจะมีคู่แข่งพยายามทำตาม แต่ก็ยังทำออกมาได้ไม่ดีเท่ากัน
4. Power Management
เราจะไม่ได้เห็นการเพิ่มปริมาณแบตเตอรี่เข้าไปใน Galaxy Note 4เยอะกว่ารุ่นก่อนๆมาก โดยจะมีเพิ่มจาก Note 3 เพียง 20mAh เท่านั้น (3200 --> 3220 mAh) แต่อย่างไรก็ดี มีการเคลมว่าชิ้นส่วนของ Galaxy Note 4จะกินไฟน้อยลง และใช้งานได้ยาวนานขึ้นถึง 7.5% แม้หน้าจอจะมีขนาดที่ใหญ่และละเอียดขึ้นก็ตาม
ไม่ใช่เพียงการกินแบตที่น้อยลง แต่ว่า Galaxy Note 4ยังชาร์จแบตได้ไวขึ้นมากด้วย โดยจะสามารถชาร์จแบตได้ไวขึ้นมาก 0-50% ใช้เวลาเพียง 30 นาทีเท่านั้น หมดห่วงแบตเหลือน้อยไปได้เปราะนึง แต่ยังไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องหัวชาร์จหรือสายไฟที่ต้องใช้อุปกรณ์เฉพาะเหมือนบางค่ายหรือเปล่า ซึ่งจะค่อนข้างวุ่นวายต่อการใช้งานมาก
สรุปตัวที่น่าสนใจคงจะไม่พ้น Fast Charging ที่แม้ว่าเครื่องจะกินไฟจากปัญหาอะไรก็ตาม คนก็ยังจะสามารถใช้งานเครื่องต่อไปได้แบบรวดเร็ว เพียงทิ้งชาร์จเอาไว้แค่ครึ่งชั่วโมง เมื่อนำไปรวมกับ Ultra Power Saving Mode ที่มีใน Galaxy S5 อีกด้วยนั้น ก็ทำให้ผู้ใช้อุ่นใจได้ระดับนึง ส่วนว่าใช้งานจริงจะอึดถึกทนแค่ไหน เดี๋ยวมาทดสอบกันอีกทีครับ
เพิ่มเติม
อีกความสามารถเด่นที่หลายๆคนน่าจะชอบคือ การอัดเสียงที่ทำประหนึ่งเครื่องอัดเสียงราคาแพง ด้วยการเพิ่มไมค์เป็นสามตัวบน Galaxy Note ซึ่งเมื่อใช้ระหว่างการประชุม มันจะจดจำตำแหน่งคนที่พูดในวงสนทนาได้สูงสุดถึง 8 ทิศทางและกลับไปเล่นโดยเลือกเฉพาะทิศทางใดทิศทางหนึ่งก็ได้ ทำให้เสียงคมชัดมากขึ้นกว่าเดิม หรือเมื่อเลือกโหมดสัมภาษณ์ ก็จะตัดเสียงรบกวนรอบข้างออกได้สะอาดมากขึ้น ได้คุณภาพของงานที่ดีกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
ซึ่งการเพิ่มไมค์เป็นสามตัวนี้ก็ช่วยให้การตัดเสียงรบกวนระหว่างสนทนาเป็นได้ได้ดีขึ้นด้วย เพราะวิธีการตัดเสียงรบกวนนั้นก็คือนำเอาเสียงที่เข้าจากทั้งสามไมค์มาเทียบเพื่อหาว่าเสียงไหนเป็นเสียงของเราและเสียงไหนเป็นเสียงรอบข้างนั่นเอง
และนี่คือความสามารถใหม่ๆและความเปลี่ยนแปลงของ Galaxy Note 4ผู้สืบต่อในซีรีย์สตระกูล Note ซึ่งจากความสามารถแล้วอาจจะไม่ได้มีอะไรทำให้ว้าว ตาลุกวาวได้เหมือนก่อน ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของฮาร์ดแวร์แบบรุนแรงจนทำให้คนอยากเปลี่ยนเครื่อง ความสามารถต่างๆเน้นไปที่ซอฟท์แวร์มากกว่า แต่การเก็บเอาเรื่องเล็กๆน้อยๆมาผสมปนกันจนดูลงตัว และสนใจความต้องการของผู้ใช้ มากกว่าส่ิงที่ตัวเองต้องการจะขาย ก็เป็นอะไรที่มีเสน่ห์อย่างนึงในโทรศัพท์รุ่นเรือธงของ Samsung Galaxy ในวันนี้
แต่มันยังไม่หมดแค่นี้เพราะยังมีเรื่องของอุปกรณ์เสริมที่น่าสนใจอีกหลายๆอย่าง ไว้เดี๋ยวจะขอแยกเป็นอีก Blog นึงนะครับ
อ่านจบแล้ว คุณคิดว่า Galaxy Note 4 มันคือนวัตกรรม หรือว่าเป็นการปรับปรุงอัพเดทสเปคของทาง Samsung? และคิดเห็นอย่างไรกับเจ้ารุ่นที่สี่แห่งการสร้างสรรค์และขีดเขียนนี้ครับ มาเขียนบอกกันได้ใน comment ด้านล่างเลย